Monday 26 September 2011

อานิสงค์ที่ดี เขียนเพื่อสุขภาพ: มะเร็ง

อานิสงค์ที่ดี

ได้รับโทรศัพท์เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งขอหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยเขียนพิมพ์แจกในงานของพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เกี่ยวกับอาหารและมะเร็ง และการเตรียมตัวเพื่อรักษา และเพื่อลดความเสี่ยง ฯ มีหลายหัวข้อในเรื่องนั้น เพื่อไปให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งคนหนึ่ง แต่หนังสือนั้นเขียนหลายปีมาแล้วเลยไม่สามารถหาต้นฉบับในเครื่องคอมฯได้ เพราะไม่ได้เขียนลงที่ไหน ในที่สุดก็ต้องเอาเล่มที่มีไปถ่ายเอกสารให้ก่อน และก็ได้ทราบข่าวในเวลาต่อมาว่าไม่ทันการเพราะคนนั้นได้เสียชีวิตด้วยมะเร็ง โรคยอดนิยมไปแล้ว ครอบครัวไม่ทันได้จัดการอาหาร หรือแนะให้ปฎิบัติข้อควรปฎิบัติตนอะไรเลย นี่ไม่ไช่ครั้งแรกที่ได้ข่าวเช่นนี้ 

 meepole เคยตั้งใจหลายครั้งแล้วว่าจะพยายามรวบรวมเรียบเรียงสิ่งต่างๆที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยโรคนี้และที่สำคัญคือลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคนี้ลง แล้วเผยแพร่ให้ทุกคนที่ยังปกติอยู่ นำไปใช้ได้ ซึ่งจริงๆแล้วในสื่อต่างๆ คอลัมน์ต่างๆก็มีเขียนซ้ำไป ซ้ำมามากมายอยู่เช่นกัน เพียงแต่กระจัดกระจายเป็นจิ๊กซอว์ บางอันคัดลอกจนไม่ได้มีการตรวจสอบ คัดกรองก่อน ไม่มีแหล่งอ้างอิง บางครั้งก็เป็นดาบสองคมเช่นกัน หากปฎิบัติตามโดยไม่รู้เงื่อนไข ข้อยกเว้นต่างๆ เพราะทุกเรื่องมีความแตกต่างตามสถานกาณ์ ต้องเลือกปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง

Meepole ไม่ไช่หมอ พยาบาล หรือนักโภชนาการ แต่อาจเป็นเพราะเป็นอาจารย์วิทยาศาสตร์ และชอบเขียน และบรรยายเรื่องเกี่ยวกับอาหารที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ  อันตรายจากสารเคมีต่างๆ  เนื่องจากได้เล่าเรียนและเป็นผู้สอนวิชาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคน เช่น พิษวิทยา ชีวเคมี มลภาวะสิ่งแวดล้อม  ทำวิจัยทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สารพิษและพืชสมุนไพร ทำให้ต้องอ่านมาก ศึกษาเรื่องต่างๆมากพอสมควร และชอบที่จะอธิบายสิ่งที่รู้เพื่อให้ใครๆใช้ดูแลสุขภาพ เพราะหากเขานำไปปฎิบัติตามแล้วเกิดผลดี เป็นอานิสงค์ที่ดี และบอกต่อๆไปยังคนอื่นๆเพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะได้ช่วยให้ลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆได้ หากทุกคนสุขภาพแข็งแรงจนถึงวัยอันควร ก็จะทำให้ทั้งตัวเองและครอบครัว มีความสุข นั่นก็เป็นความตั้งใจของ meepole เช่นกัน

เวลาเจอใครๆก็มักจะถูกถามเรื่องเวลาเป็นโรคนี้กินอะไรดี หรืองดกินอะไร สมุนไพรอะไรช่วยได้  สิ่งนี้ สิ่งโน้นอันตรายไหม เพราะคนเราอยากให้สุขภาพดีทุกคน เลยไปเชื่อโฆษณา อะไรที่บอกต่อ ว่าดีเป็นหามา แพงมากแค่ไหนไม่ว่า ซื้อมาไว้ก่อนกินไปๆก็อาจไม่แน่ใจว่ามันดีจริงไหม อันตรายไหม ทิ้งขว้างไปก็เยอะ นี่ก็เป็นธรรมดาของคน บางคนกินจนเกิดผลข้างเคียงไปแล้ว (ย้อนอ่านบทความhttp://meepole.blogspot.com/2011/08/1_14.html  และhttp://meepole.blogspot.com/2011/06/blog-post_22.html)

บทความที่อยู่ในblogนี้ บางส่วนมาจากการค้นเพื่อสอน จากการบรรยาย จากงานวิจัย จากคุยแลกเปลี่ยนความรู้ เพราะทุกๆแหล่งข้อมูลล้วนมีประโยชน์ นำมารวบรวม เผยแพร่ให้สำหรับหลายๆคนที่ไม่มีเวลา และได้เข้ามาอ่านที่นี่แล้วได้สิ่งที่เกิดประโยชน์ออกไปใช้  (meepole ไม่ใช้ facebook, twitter หรือช่องทางใดๆที่เผยแพร่ blog นี้ ดังนั้นหากท่านใดที่คิดว่าบทความใดในนี้มีประโยชน์ต่อส่วนรวมก็สามารถ link ไปได้ค่ะ ขออนุโมทนาร่วมกัน)

ดังนั้นช่วงต่อจากนี้เลยตั้งใจว่าจะเริ่มเขียน แปล รวบรวม เรียบเรียง คัดกรองบทความที่ดีๆเกี่ยวกับมะเร็งทยอยลงเป็นระยะๆให้อ่านกันตามที่เวลาอำนวย  หากจะนำไปใช้ในทางใดกรุณา e-mail มาบอกกันบ้างนะคะ จะได้อนุโมทนาให้เกิดอานิสงค์ต่อกัน

Friday 23 September 2011

อันตรายจากผงชูรส (2)

อันตรายจากผงชูรส (2)




 
(ตอนนี้ต่อจากตอนที่แล้ว) ...มาดูกันค่ะว่าสารปลอมปนอะไรที่ใส่กันลงไปในผงชูรส แล้วทำให้มีอันตรายและอาการต่างๆ  อันตรายบางอย่างไม่เกิดทันทีแต่สะสมรอเวลา หากเราซื้อผงชูรสปลอมปนมาปรุงอาหารในบ้านและทานสะสมไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัวและแน่นอนอาการเหล่านั้นหลายอย่างเราไม่คาดคิดเลยทีเดียว

สารบางชนิดมีลักษณะใกล้เคียงกับผงชูรส จึงมักนิยมนำมาปลอมปน และเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ เช่น บอแรกซ์ หรือที่เรียกว่า น้ำประสานทอง มีลักษณะเป็นผลึก เม็ดกลมเล็ก ๆ สีขาว ทึบแสง


บอแรกช์ เป็นสารห้ามใช้ในอาหารหากร่างกายได้รับในปริมาณสูงอาจทำให้เสียชีวิตได้  ได้รับในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง จนเกิดการสะสมในร่างกายจะเกิดอาการเป็นพิษแบบเรื้อรังทำให้เบื่ออาหาร อ่อนแอ สับสน ระบบย่อยอาหารถูกรบกวน ผิวหนังอักเสบ ไตอักเสบ
วัตถุอีกชนิดหนึ่งที่นิยมปลอมปนในผงชูรส คือ โซเดียมเมตาฟอสเฟต สารตัวนี้เป็นผลึกขาวใสวาววับ หัวท้ายมน ปกติใช้เป็นน้ำยาล้างหม้อน้ำรถยนต์ เมื่อรับประทานเข้าไปจะออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ชึ่งอันตรายมาก ดังนั้นบางคนทานอาหารที่ใส่ผงชูรสที่มีสารปนเช่นนี้จึงอาจ อ่อนเพลียและถ่ายท้องทันที แบบที่ meepole เจอมา

ดังนั้นประโยชน์ผงชูรสเพียงแค่เพิ่มความอร่อย แต่มีโทษมหันต์ถ้ากินในปริมาณมากเกินไป (กำหนดไว้ไม่ควรบริโภคเกิน2 ช้อนชาต่อวัน) หรือทานผงชูรสที่มีสารอันตรายเจือปน  ดังนั้นการใช้ผงชูรสในครัวเรือนจึงควรมีการตรวจสอบว่ามีวัตถุอื่นปลอมปนหรือไม่ชึ่งมีวิธีที่สามารถตรวจสอบได้เอง(แบบง่ายๆก็ลอง search หาอ่านได้) และเราก็สามารถใช้ระบบสัมผัสด่านแรกคือ ตา สองตาของเรา (ไม่ไช่แฟนยาย)

การสังเกตผงชูรสด้วยตาเปล่า มีหลักสังเกตดังนี้
ภาชนะที่บรรจุต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ฉีกขาด ไม่เลอะเลือน ฉลากชัดเจน โดยที่ฉลากจะต้องมีข้อความระบุดังนี้
- ชื่ออาหารแสดงคำว่าผงชูรส
- เลขทะเบียนตำรับอาหาร
- ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตอย่างชัดเจน
- เดือน ปี ที่ผลิต
และสังเกตให้ดีว่าผลึกไม่ควรมีความวาวแบบสะท้อนแสง ( อันนี้คงต้องกรณีเราซื้อมาใช้เอง แต่หากทานอาหารนอกบ้านก็เสี่ยงแบบ  meepole แต่ก็ป้องกันได้โดยบอกเขาว่าไม่ใส่ผงชูรสนะจ๊ะ  แต่หากเขาแอบใส่ตามความเคยชิน ก็ตัวใครตัวมัน

นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากเราทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสมากๆ เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนี้

·       ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้
·       ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้
·       ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย
·       ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน
·       ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
·       หากบริโภคมากเกินไปผงชูรสจะไปทำลายสมองส่วนควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกายทำลายระบบประสาทตา สายตา
·       อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยเฉพาะอาหารที่หมักผงชูรสแล้วนำไปปิ้ง ย่าง
·       ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ถ้าบริโภคมากเกินไปจะ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรสด้วย จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้

อันตรายเหล่านี้ไม่ไช่ว่าจะเป็นผลทันที แต่เป็นผลสะสมและที่สำคัญอาจเป็นตัวกระตุ้นส่งผลให้เกิดอาการต่างๆนั้นเร็วกว่าที่ควร ดังนั้นหากงดได้ก็งด ในบ้านก็ไม่ใส่ผงชูรส ส่วนนอกบ้านก็คงต้องสั่งให้งดใส่ บอกว่าเราแพ้ผงชูรส แต่หากเป็นอาหารปรุงสำเร็จแล้วก็อย่างที่บอก.. เสี่ยงดวงเองนะเจ้าคะ

อ้างอิง: http://www.pgjr.alpine.k12.ut.us/science/whitaker/class_activities/crystals.html
                       Kwok RH M. Chinese restaurant syndrome. N Engl J Med 1968;278-96.

Monday 19 September 2011

อันตรายจากผงชูรส

อันตรายจากผงชูรส






เมื่อวานได้ไปทานอาหารที่หลังสวน ชุมพร ตั้งใจไปทานอาหารที่ร้านที่ต้องแวะเป็นประจำหากต้องไปชุมพร ชอบบรรยากาศ และอาหารอร่อย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทุกครั้งจะสั่งเอ็นหอยผัดฉ่า และผัดผัก ไม่เคยสั่งยำ หรือต้มยำ หรือที่เป็นน้ำแกง แต่ครั้งนี้สั่งต้มยำ แต่ลืมบอกเขาไปว่าไม่ใส่ผงชูรส  เพราะเป็นความรู้สึกไว้ใจในชื่อเสียงของสถานที่ แต่ลืมคิดไปว่าบางครั้งคนซื้อผงชูรส อาจไม่ระวัง หรือไม่รู้ไม่คิด คนทานจึงควรต้องระวังเอง ต่อไปก็จะไม่ไว้ใจอีก พลาดจนได้ ! 

 ทานต้มยำจนหมดเกลี้ยง เพราะน้ำแกงอร่อย เมื่อทานเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมงก็เดินทางต่อ กลับออกมาแค่ปากทางรู้สึกหวิวๆใจสั่นเพลียทันที ตามนิสัยของนักวิทย์ ผู้สอนวิชาพิษวิทยาไล่หาสาเหตุทันที ตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำหญ้าหวานที่ทดลองชิม เพราะยังหวานติดปาก เลยทานน้ำชาลงไป พอหมดความหวานในปาก นึกออกทันที ว่าเป็นอาการแพ้ผงชูรสนั่นเอง ครั้งนี้ไม่ไช่ผงชูรสปลอม เพราะไม่เมื่อยตัว และหายใจช่วงอกเป็นปกติ แต่เพลียใจสั่นไม่มีแรงพูดเท่านั้น  หลังจากนั้นประมาณ  1 ชั่วโมงก็ถ่ายท้อง ก็เป็นเพราะทานผงชูรสมากเกินไปหรือไม่ก็ผงชูรสมีสารปลอมปนผสมอยู่ เป็นอาการที่หากเราสังเกตตัวเองก็รู้ไม่ต้องตกใจ meepole ก็แก้ไขตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ หนามยอกก็เอาหนามบ่ง ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันก็หมดฤทธิ์ เราก็มีแรงโม้ต่อ หุ หุ เจอมากะตัวเองแล้ว ก็เลยค้นเรื่อง "ผงชูรส" มาเขียนให้รู้เขารู้เราเอาไว้ จะได้ระวัง และหากไม่ทานเลยได้ยิ่งดี

ผงชูรสมีการขายในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกภายใต้ชื่อการค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า อายิโนะโมะโต๊ะ ซึ่งเรารู้จักกันดี ผลิตโดยใช้วิธีการย่อยแป้งด้วยกรดเพื่อให้ได้กรดอะมิโนแล้วจึงแยกกลูตาเมตออกมาภายหลัง

สารชูรสที่ใช้กันมานานได้แก่ กรดกลูตามิกและเกลือของมัน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่พบได้ในอาหารหลายชนิดในธรรมชาติ มีรายงานว่าการรับประทานสารชูรสในกลุ่มกรดกลูตามิกอาจก่อให้เกิดอาการภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome; CRS) ในผู้บริโภคบางกลุ่มได้  โดยจะมีอาการชาและร้อนวูบวาบที่ปากลิ้นใบหน้า ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ทั้งนี้สารชูรสกลุ่มกรดกลูตามิกเป็นวัตถุเจือปนอาหารควบคุมในหลายประเทศ อันนี้ก็ไม่คุมในไทยค่ะ หุ หุ

ผงชูรสแท้ผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง หรือจากกากน้ำตาล ลักษณะของผงชูรสจะเป็นเกล็ดหรือผลึกสีขาวขุ่นรูปร่างเหมือนกระดูก ไม่มีความวาวแบบสะท้อนแสง มีวัตถุเจือปนอาหารหลายชนิดที่ใช้เป็นผงชูรส เช่น กรดกลูตามิกและเกลือของมัน กรด Inosinic และเกลือของมัน กรดอะมิโนและเกลือของมัน เป็นต้นส่วนผงชูรสที่ใช้วัตถุอื่นปลอมปนนั้น วัตถุบางชนิดไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเช่น ใช้เกลือ น้ำตาล แป้ง ชึ่งมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กเป็นเม็ด หรือเป็นผงปลอมปนเข้าไป  สารปลอมปนเหล่านั้นเป็นอันตรายมากแน่นอนค่ะ

ตอนหน้ามาดูกันค่ะว่า สารปลอมปนอะไรที่ใส่กันลงไป แล้วทำให้มีอันตรายและอาการต่างๆ และแน่นอนอาการเหล่านั้นหลายอย่างเราไม่คาดคิดเลยทีเดียว

Wednesday 14 September 2011

กระชากวัย

ชะลอเหี่ยวย่น กระชากวัย
public domain clipart image


จากตอนก่อนเราทราบกันแล้วว่าเจ้าอนุมูลอิสระนี่เองที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีการเสื่อมสลายของเซล์ จนทำให้เซลล์ตายลง  ก่อเกิดการเหี่ยวย่น ทำให้ดูชรา หุ หุ และจากการศึกษาวิจัยจำนวนมากได้พบว่า อนุมูลอิสระ (free radicals) มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของคนไทยและประชากรทั่วโลก เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง เป็นต้น

จะชะลอเหี่ยวย่น กระชากวัยได้อย่างไร

โชคดีที่โลกนี้อะไรๆก็มีสองด้านมีตัวการก็มีตัวแก้  ตัวที่มาช่วยแก้ก็เป็นตัวที่เรียกว่า สารต้านอนุมูลอิสระหรือสารยับยั้งอนุมูลอิสระ (antioxidant)

สารนี้ทำงานยังไง ??  สารนี้จะทำหน้าที่แบบชื่อของมันคือ ลดการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกายหรือไปทำปฎิกิริยากับอนุมูลอิสระให้เปลี่ยนเป็นสารอื่นที่ไม่สามารถมาทำปฎิกิริยากับเซลล์ของเราอีก เมื่อไม่มีอนุมูลอิสระ การเสื่อมสลายของเซลล์จะเกิดช้าลง เสื่อมช้าก็เหี่ยวย่นช้า เหี่ยวย่นช้าก็คือยังตึงๆ ยังตึงๆก็ไม่แก่เร็ว ซึ่งก็คือการชะลอความแก่นั่นเองด้วยประการะฉะนี้..แล

สารต้านอนุมูลอิสระมีอะไรบ้าง


ตัวอย่างสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น
วิตามิน E  C  และ A
ธาตุซีลีเนียม
เมลาโทนิน ดีเอชอีเอ (DHEA)
โคเอนไซม์ Q 10
บีตา-แคโรทีน
สารประกอบฟีโนลิก (polophenol) จากชาและสมุนไพรบางชนิด
ไอโซฟลาโวน (isoflavones

สารต้านอนุมูลอิสระหรือสารยับยั้งอนุมูลอิสระ  มาจากไหน ??  
แหล่งอาหารที่สำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ
·       วิตามินซี ได้จาก ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม สับปะรด  สตรอเบอรี่ องุ่น กีวี มะละกอสุก พริกชี้ฟ้าเขียว มันฝรั่ง ผักโขม บร็อกโคลี ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักหวาน ผักกาดเขียว เป็นต้น
·       วิตามินอี  ได้จาก น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เมล็ดทานตะวัน เมล็ดอัลมอนด์ จมูกข้าวสาลี อาหารทะเล เป็นต้น
·       วิตามินเอ  ได้จาก ตับหมู ตับไก่ ไข่โดยเฉพาะไข่แดง น้ำนม พืชผักที่มีสีเขียวเข้ม ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น ผักตำลึง ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอสุก มะเขือเทศ เป็นต้น
·       บีตาแคโรทีน ได้จาก  ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอสุก มะเขือเทศ
·       ไอโซฟลาโวน ได้จาก ถั่วเหลือง
·       สารประกอบฟีโนลิก ได้จาก ชาและสมุนไพรบางชนิด ฯ
·       ซีลีเนียม  ได้จาก อาหารทะเล ปลาทูน่า เนื้อสัตว์และตับ บะหมี่ ไก่ ปลา ขนมปังโฮลวีต ฯ
·       แร่ทองแดง แมงกานีส สังกะสี ได้จาก อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม ไก่ นม ถั่ว ฯ
·       อินดอล ได้จาก ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี บร็อกโคลี


รู้อย่างนี้แล้วรีบหาอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากินกัน จะได้กระชากวัยกลับมา และลดความเสี่ยงจากอันตรายร้ายแรงต่างๆอีกด้วย แต่สิ่งที่สำคัญคือสารเหล่านี้ไม่ได้มีมากมายในพืชสัตว์แต่ละชนิด แม้ว่าจะมีโฆษณาสารสกัดเหล่านี้ออกขายมากมายหลากยี่ห้อ แต่ก็ควรทานจากแหล่งอาหารจะดีกว่าแน่นอนเพราะสามารถได้ประโยชน์อย่างอื่นพ่วงตามไปด้วย และที่เห็นผลชัดคือราคาถูกกว่ามากและได้สารนั้นจริงๆ

ดังนั้นหากจะได้ผลก็ต้องกินผัก ผลไม้อย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ไม่ไช่กินๆหยุดๆ ทำยังไงๆแก่ก็ไม่ชะลอนะคะ :) จะบอกให้

อ้างอิง  นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๓๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๘]
http://www.healthyeatingclub.org/info/articles/vitamins/antioxidants.htm

Friday 9 September 2011

แก่อย่างไร ให้เหี่ยวย่น...ช้าลง 1


ทำไมแก่แล้วต้องเหี่ยวย่น


อ่านชื่อเรื่องแล้วอาจตรงไปหน่อย แต่คงโดนใจของหลายๆคน ก่อนจะรู้ว่าแก่อย่างไร ให้เหี่ยวย่น....ช้าลง คงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนสักนิดว่า ทำไมแก่แล้วต้องเหี่ยวย่น  เพราะอะไรถ้าเรารู้เหตุ เข้าใจเหตุ ก็แก้ที่เหตุ ผลที่ตามมาก็จะดีเอง เพราะอะไรๆที่เกิดล้วนมาแต่เหตุ ....คงเคยล้อเล่นกันบ้างว่า สังขารไม่เที่ยง แก่แล้วเหี่ยวเป็นของธรรมดา  ความแก่เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ ถึงเวลาก็มาเอง แต่ความเหี่ยว ย่น ชะลอกันได้  เริ่มสนใจหรือยังคะ ว่าเราจะชะลอความเหี่ยวย่นได้อย่างไร ??  ก่อนอื่นต้องรู้สาเหตุของความเหี่ยวย่น หรือความเสื่อมของเซลล์ก่อน
 
ร่างกายเรามีกลไกที่ซับซ้อน มีปฎิกิริยาและ กระบวนการทางชีวเคมีต่างๆมากมาย ซึ่งทำให้เราสามารถเจริญเติบโตได้เป็นปกติสุข แต่ในขณะเดียวกันมีได้ก็ต้องมีเสียเพราะผลจากกระบวนการต่างๆเหล่านั้นจะทำให้เกิด อนุมูลอิสระ (free radicle) ขึ้น อนุมูลเหล่านี้เมื่อเกิดแล้วจะทำปฎิกิริยากับเซลล์ในร่างกายได้อย่างรวดเร็วเกิดผลเสียจนทำให้เซลล์ตาย นอกจากนี้ยังสามารถไปรวมตัวกับสารบางชนิดในร่างกายเรา แล้วก่อให้เกิดเป็นสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อ หรืออาจไปมีผลในการทำให้ข้อมูลทางพันธุกรรมภายในเซลล์เปลี่ยนแปลงทำให้เซลล์ที่ปกติแปรสภาพไปเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด 

นอกจากปฎิกิริยาและ กระบวนการทางชีวเคมีต่างๆในร่างกายที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นแล้ว เรายังสามารถได้รับ อนุมูลอิสระจากแหล่งอื่นๆนอกร่างกายเข้าไปอีกเช่น จากอาหารที่เรากินเข้าไป โดยเฉพาะอาหารทอด สารเติมแต่ง สารปลอมปนในอาหารบางชนิด  อาหารพวก ปิ้ง ย่าง เผา พวกเนื้อไหม้เกรียม จากยาบางชนิด  แอลกอฮอล์ พูดชัดๆคือพวกน้ำเมา เหล้า ทั้งหลาย   ควันบุหรี่ แม้กระทั่งรังสี UV ในแสงแดด เป็นต้น

 แม้ว่าโดยปกติร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำอันตราย แต่ถ้ามีการสร้างอนุมูลอิสระเร็วหรือมากเกินกว่าร่างกายจะกำจัดทัน อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อ และอาจก่อให้เกิดโรคหลายๆชนิดได้ สรุปง่ายๆว่าเจ้าอนุมูลอิสระเป็นตัวการที่สำคัญที่ทำให้กระบวนการเสื่อมสลายของเซลล์เกิดได้เร็วขึ้น  เมื่อเซล์เสื่อม เราก็โทรม เลยดูเหี่ยวไปหมด หุ หุ

 
จะชะลอเหี่ยวย่น ได้อย่างไร ตอนต่อไปค่ะ



Tuesday 6 September 2011

ปลอดสาร ปลอดภัย เมื่อกินผัก ??

ปลอดสาร ปลอดภัย เมื่อกินผัก ??



by meepole

ปัจจุบันมีการปลูกผักโดยไม่ใช้สารเคมี และนับวันจะเป็นที่นิยมมากขึ้น แม้ว่าราคาอาจสูงไปเล็กน้อยแต่ก็คุ้มค่าหากทานแล้วปลอดภัย  แต่ผักที่เขาว่าปลอดสารเคมี นั้นปลอดสารเคมีจริงหรือ ?? อันนี้คงตอบไม่ได้เพราะหากเราไว้ใจก็ ok แต่หากไม่แน่ใจก็คงต้องมีวิธีการอีกสักขั้นตอนเพื่อให้ลดปริมาณของสารเคมีที่อาจตกค้างลงได้ ดังนี้

1         ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายครั้ง จะลดสารเคมีตกค้างได้ประมาณ 10 %
2         ล้างด้วยน้ำยาล้างผัก จะลดได้ 25%
3         ล้างด้วยโซดาปิ้งขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 กะละมัง (ประมาณ 4 ลิตร)
4         แช่ผักทิ้งไว้จะลดพิษได้ 50%  หากใช้น้ำอุ่นจะช่วยลดปริมาณสารเคมีได้มากขึ้น
5         ล้างผักด้วยน้ำร้อนจะลดพิษได้ 50%
6         ผักผลไม้ที่ปอกเปลือกได้ แม้จะบางมากก็ควรปอกเปลือกก่อนรับประทาน หรือนำไปปรุง เช่น แครอท หัวผักกาด จะปลอดภัยขึ้น หากเป็นแตงกวาก็แช่น้ำให้นานหน่อย
7         ผักที่เป็นกลีบๆ ควรลอกแต่ละชั้นออกแล้วแช่น้ำ เช่น กะหล่ำปลี  ผักกาดขาว
8         หอม กระเทียม พริกแห้ง ควรล้างให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหาร
9         ถั่วแห้งทุกชนิด ควรล้างให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหาร และถ้าต้มควรทิ้งน้ำต้มครั้งแรกไปเพื่อล้างเอายาฆ่าแมลงบนถั่วออกไป


ที่ควรระวังคือ อย่าเลือกซื้อผักที่มีใบสวยเกินไป ควรสังเกตุให้ดี ควรเลือกซื้อผักที่มีรูจากการถูกแมลงกัดเจาะบ้าง แต่ก็ควรระวังผักที่มีรูพรุนปลอมจากการถูกทรายคั่วร้อนซัด หรือถั่วเขียวคั่ว  หุ หุ

เพียงเท่านั้นก็จะได้ผักที่มีความปลอดภัยปลอดสารมากขึ้น  เหมาะสำหรับการบริโภคแล้วล่ะค่ะ

Thursday 1 September 2011

ระวังอันตราย ! จากกาแฟลดความอ้วน

ระวังอันตราย ! จากกาแฟลดความอ้วน
By meepole


ความอ้วน เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาของหนุ่ม สาว ถึงวัยกลางคน บางคนอ้วนโดยไม่รู้ตัว พูดกลับกันก็ว่ากว่าจะรู้ตัวก็อ้วนเสียแล้ว (เหมือน meepole หุ หุ) การแก้ปัญหานี้มีสารพัดรูปแบบ ทั้งออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร  เปลี่ยนนิสัยการทานอาหาร นี่เป็นวิธีง่ายๆธรรมชาติที่ถูกต้อง แต่สำหรับอีกหลายๆคนที่ทำงานจนค่ำมืด ไม่มีเวลาออกกำลังกาย  ไม่สามารถคุมปากได้ ทานจุกจิก ก็ต้องหันมาพึ่งการลดความอ้วนสำเร็จรูป เช่น เข็มขัดลดความอ้วน ชุดชั้นในลดความอ้วนไปใหนไปกัน จากนั้นก็อาจเป็นยาลดความอ้วน และตอนนี้ก็มีชา กาแฟ ลดความอ้วน อีกไม่นานคงมีสารพัดเครื่องดื่มออกมาโฆษณาว่าลดความอ้วนกันเต็มไปหมด

หลายสัปดาห์มาแล้วไปเดินที่ห้างแห่งหนึ่ง ก็มีบู๊ทโฆษณากาแฟ มีพนักงานชงให้ทดลองชิม โดยไม่ได้เขียนเด่นชัดว่าลดความอ้วน แต่ซื่อที่หน้าซองเป็นตัวสื่อบอก ด้วยความสนใจตามประสาอาจารย์ผู้สอนพิษวิทยา เลยเดินเข้าไปขอดูซองเพื่อดู ingredients ที่เขียนไว้ข้างซอง ก็ไม่แปลกใจที่มี Aspartame แทนน้ำตาล นอกนั้นไม่มีอะไรเหมือนกาแฟอื่นๆทั่วไป  เกิดคำถามในใจว่า "แล้วอะไรที่ช่วยลดความอ้วน หรือทำให้น้ำหนักลด ??"

ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนว่าตัวกาแฟไม่สามารถลดความอ้วนได้อยู่แล้ว ดังนั้น หากมีการอวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนจะต้องมีการผสมสารบางอย่างลงไป และแน่นอนย่อมไม่มีการระบุไว้

เมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวการเข้าจับกุมแหล่งขายกาแฟลดความอ้วนที่ผสมสารอันตรายหลายยี่ห้อ ซึ่งเมื่อได้นำมาตรวจสอบแล้วก็พบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือ รีดัคทิล (Reductil) ผสมอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์ สารนี้เป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้ในคลินิกสำหรับลดความอ้วน และมีอันตราย ซึ่งตอนนี้องค์การอาหารและยาได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้

วิธีการสังเกตว่า กาแฟที่กินอยู่ผสมสารไซบูทรามีนหรือไม่
ให้ดูจากการอวดอ้างสรรพคุณ ซึ่งกาแฟกลุ่มนี้จะอวดอ้างสรรพคุณเรื่องรูปร่างดี เมื่อกินเข้าไปเริ่มแรกจะมีอาการใจสั่น หวิวๆ รู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นลม ตามมาด้วยการไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการใจสั่นจะรุนแรงกว่าการกินกาแฟทั่วๆ ไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที

ตอนนี้มีการโฆษณากาแฟลดความอ้วนจากสื่อหลายๆทาง หนุ่มๆ สาวๆ ที่อยากจะลดหุ่นให้ดูดีตามที่ใจต้องการ ควรต้องระมัดระวังอย่างมากและไม่ควรไปพึ่งพากาแฟเหล่านั้น เพียงแต่กินอาหารให้ถูกสัดส่วน และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็เพียงพอแล้ว มิฉะนั้น อ้วนอาจไม่ลด แต่โรคหัวใจ หรือโรคไตจะถามหาก่อน หากฝืนทานอาจอันตรายถึงชีวิตได้