ที่มาภาพ: odorhalt.com
by meepole
คงไม่ช้าเกินไปสำหรับการกำจัดเชื้อราในรถ แม้ว่าบางคนส่งรถไปเข้าอู่ซ่อมแล้ว นั่นก็แสดงว่ามันคงอาการหนัก แต่หากใครที่น้ำกำลังจะลดเริ่มเข้าบ้านได้ คงจะเห็นว่ามีราขึ้นในรถเพราะเป็นเดือนมาแล้ว แต่หากว่ารถของใครที่ซ่อมเสร็จกลับมาแล้ว ก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้อีกหากไม่ได้มีการกำจัดราที่ถูกต้อง หรือกำจัดไม่หมด หรือยังมีความชื้นค้างในรถ ดังนั้นเรื่องนี้ยังไงๆก็ไม่ช้าเกินการ
ก่อนอื่นเรื่องนี้ต้องขอบอกก่อนนะคะว่า เจ้าของรถเท่านั้นที่เห็นด้วยตาตัวเองว่ารถยนต์ของท่านมีรามากในระดับใด กรณีที่ meepole จะเขียนต่อไปนี้เป็นกรณีที่ท่านคิดว่าท่านสามารถรับมือได้ มีราขึ้นบนเบาะนั่งให้เห็นชัด บนชิ้นยางทุกส่วน หรือไม่เห็นราแต่ได้กลิ่นรา อันนี้ก็คงต้องหาที่มาของกลิ่นก่อนเพื่อให้กำจัดได้ถูกจุด และหากอาการหนักจริงๆมันฟูเต็มไปหมดทั้งคันรถ เอาไม่อยู่ก็ต้องตัดสินใจว่าส่งไปให้ที่ร้านช่วยจัดการหรือไม่ และหากใครคิดว่ารอไม่ไหวต้องใช้รถ คงต้องทำความสะอาดเอง ในทุกกรณีที่อาจเป็นไปได้
ขอเตือนไว้เบื้องต้นว่า แม้ว่าราหลายชนิดเป็นประโยชน์ แต่ก็มีหลายชนิดเป็นโทษ และหากเราไม่ใช่นักราวิทยาก็ยากที่จะรู้แน่ชัดว่า ราใดอันตรายหรือไม่อย่างไร ดังนั้นการกำจัดราที่จะฟุ้งกระจายได้ง่ายมากจึงต้องระมัดระวังป้องกันตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ กรุณาย้อนไปอ่าน อันตรายของราก่อนหน้านี้ด้วยค่ะ
ขอเตือนไว้เบื้องต้นว่า แม้ว่าราหลายชนิดเป็นประโยชน์ แต่ก็มีหลายชนิดเป็นโทษ และหากเราไม่ใช่นักราวิทยาก็ยากที่จะรู้แน่ชัดว่า ราใดอันตรายหรือไม่อย่างไร ดังนั้นการกำจัดราที่จะฟุ้งกระจายได้ง่ายมากจึงต้องระมัดระวังป้องกันตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ กรุณาย้อนไปอ่าน อันตรายของราก่อนหน้านี้ด้วยค่ะ
หากคุณตัดสินใจจะจัดการกำจัดรา ก็เริ่มต้นที่ตัวเองก่อน คืออุปกรณ์ป้องกันตัวเองอย่างรัดกุม และหากใครมีโรคประจำตัวภูมิแพ้ หอบหืด ไม่ควรจะมาเป็นผู้ช่วยในงานนี้อย่างยิ่ง และควรอยู่ให้ห่างขณะที่มีการทำความสะอาด หลังจากนั้นที่ต้องทำต่อคือหาอุปกรณ์ที่เคยกล่าวมาแล้ว เปิดประตูรถให้กว้างหมดทุกบาน เข็นรถออกไปในที่ปลอดโปร่งมีลมพัดผ่านได้ สำรวจตรวจตราว่าบริเวณใดที่ขึ้นราบ้าง ตรงไหนมากน้อยอย่างไร และหากมองไม่เห็นราแต่ได้กลิ่นราก่อนหน้านี้ก็ให้สำรวจตรวจตราให้ดี เช่นอาจอยู่ใต้พรมรถ ใต้เบาะ ในช่องแอร์ ใต้หลังคารถ หรือฯลฯ
เมื่อพบแล้วก็มีข้อควรคำนึงต่อไปนี้
- หากคุณพบว่ามีเชื้อราที่ระบบทำความเย็น ต้องหยุดใช้เครื่องปรับอากาศและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่บริษัทรถ ซึ่งอาจจะต้องทำความสะอาดระบบท่อส่ง รวมทั้งหารอยรั่วที่ทำให้เกิดความชื้น
- สำหรับพรม หรือฝ้า หรือวัสดุที่มีรู เมื่อเกิดเชื้อราให้โยนทิ้ง เพราะเราไม่สามารถทำความสะอาดเชื้อราที่อยู่ในรู หรือร่องเหล่านั้นได้หมด หากมีน้อยที่จุดใดจุดหนึ่งก็ลองกำจัดดู แต่อาจขึ้นมาได้อีกนะคะ หากมีกำลังจ่ายก็ทิ้งไป ซื้อใหม่มาใส่ หรืออาจใช้วัสดุรองอย่างอื่นแทนพรมไปก่อน
- กรณีเบาะนั่งที่เป็นเนื้อผ้า อันนี้คงไม่ไหว หากขึ้นรามากเกินฟูไปหมด เบาะเปียกชื้น คงต้องรื้อออกเปลี่ยน เพราะยังไงๆตราบที่มีความชื้นในรถ ราก็ขึ้นได้ตลอดเวลา
- สำหรับวัสดุผิวแข็ง หรือผิวเรียบให้ล้างบริเวณที่เป็นเชื้อราด้วยน้ำสบู่ และทำให้แห้ง (ใช้ไดร์เป่าผม)
- ส่วนที่เป็นยางใช้ผงซักฟอกลงแปรงอ่อน ขัดและเป่าให้แห้ง
คราวนี้ก็ถึงส่วนที่เราถอดออกไม่ได้เช่น ส่วนเพดานรถ แต่ละคันก็มีวัสดุที่ไม่เหมือนกันก็ต้องอ่านเรื่องนี้แล้วพิจารณาดูว่าควรใช้แบบไหนจึงเหมาะ
เบาะหนังขึ้นรา ก็ให้ใช้กระดาษทิชชูแผ่นใหญ่จะหนาหน่อย หรือไม่ก็ฟองน้ำ ทุกอย่างใช้แล้วควรทิ้งเลยไม่แนะให้ใช้ผ้า ถ้าฟองน้ำเช็ดทีก็บีบล้างทีจะได้ไม่ไปปนเปื้อนต่อ แต่จริงๆแล้วกระดาษ tissue หนาดีที่สุด เช็ดทิ้งๆ ทันที เช็ดแบบหมาดๆ
เช็ดราออกแล้วก็ให้ใช้น้ำส้มสายชู (สีขาว มีข้อแนะนำในตอนก่อนนี้แล้ว) ผสมน้ำเปล่า 1:1 กะประมาณดู น้ำน้อยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ควรใช้ขวดสเปรย์ที่ฉีดน้ำนะคะ ผสมเสร็จก็ ฉีดๆๆๆๆไปยังบริเวณที่มีราให้ทั่ว ไม่ต้องเช็ด ปล่อยทิ้งไว้จนกลิ่นน้ำส้มเบาลง เพราะต้องการให้น้ำส้มช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ระหว่างนี้เปิดประตูรถทิ้งไว้ตลอด
ถ้าราหนามากก็ให้ทำซ้ำเลย อย่ารีบเช็ดน้ำส้มออก ถ้าไม่มีรอยคราบอะไรก็ปล่อยแห้งไปเลยก็ได้ หมดกลิ่นก็ปิดรถ
เพียงเท่านี้ก็ได้รถที่ปลอดราในระดับหนึ่งกลับมา ในระหว่างนี้ให้ลองสังเกตดูว่าในรถยังมีความชื้นจากส่วนใดๆในรถหรือไม่ พยายามที่สุดที่จะลดความชื้นในรถ ในช่วงนี้หากไม่แน่ใจพยายามเอารถออกไว้ในที่มีแดด เปิดกระจกรถเล็กน้อย อย่าเพิ่งหาที่ร่มจอดรถ จับเขาไว้กลางแดดให้มากหน่อย
meepole ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรา เพราะเราไม่สามารถฆ่าเชื้อได้หมด เราเพียงแต่แก้ไขเรื่องความชื้น เชื้อราก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้แล้ว
meepole ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรา เพราะเราไม่สามารถฆ่าเชื้อได้หมด เราเพียงแต่แก้ไขเรื่องความชื้น เชื้อราก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้แล้ว
รู้ได้อย่างไรว่ากำจัดเชื้อราหมดไปแล้ว
ให้ดูด้วยตาไม่พบเชื้อราในบริเวณดังกล่าว หรือไม่มีกลิ่น (อันนี้ต้องปิดรถแล้วลองดมในวันถัดๆไป)
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกนี้ให้หมั่นตรวจสอบว่ามีความชื้นหรือเชื้อราเกิดขึ้นที่อื่นที่มองไม่เห็นหรือไม่ เพราะความชื้นจะค่อยๆออกมา ราจะใช้เวลา 24-50 ชั่วโมงในการเจิญเติบโตถ้าขึ้นอีกให้ทำซ้ำในช่วงแรกนี้ ต่อไปจะดีขึ้นเอง
ปัจจัยที่สำคัญคือต้องกำจัดแหล่งที่จะทำให้เกิดความชื้นเสียก่อน หากยังมีความชื้นอยู่ก็จะเกิดเชื้อราขึ้นใหม่อีก
การทิ้งของที่มีเชื้อราไม่ควรกองตั้งไว้เพราะจะแพร่กระจายไปส่วนอื่นของบ้านได้ ให้ใส่ถุงพลาสติกมัดแน่นแล้วทิ้ง
หากแพ้กลิ่นน้ำส้มสายชู อาจลองใช้สูตรอื่นที่แนะไว้ก่อนหน้านี้ แต่สารธรรมชาติที่ไม่รุนแรงย่อมปลอดภัยต่อตัวเรา ลองเลือกดู และข้อแนะนำทั้งหมดนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเครื่องเรือนอื่นๆในบ้านได้เลยค่ะ
meepole ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม ขอให้ใจเย็นๆแก้ปัญหา อย่าเครียดกับมัน แล้ววันเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นค่ะ
คราวหน้าเรื่อง "ลดความชื้นควบคุมรา 7 " :) สำคัญมากเพราะทำความสะอาดอย่างเดียวย่อมไม่พอ
http://meepole.blogspot.com/2011/12/blog-post_23.html
meepole ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม ขอให้ใจเย็นๆแก้ปัญหา อย่าเครียดกับมัน แล้ววันเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นค่ะ
คราวหน้าเรื่อง "ลดความชื้นควบคุมรา 7 " :) สำคัญมากเพราะทำความสะอาดอย่างเดียวย่อมไม่พอ
http://meepole.blogspot.com/2011/12/blog-post_23.html