Friday, 30 March 2012

เครื่องดื่ม! โปรดอ่าน..ก่อนสายเกินไป


ช่วงนี้กำลังมีสมาธิเร่งเขียนตำราอยู่เลยเอาข่าวที่น่าสนใจมาให้อ่าน เผื่อใครที่ตกข่าวจะได้รู้แล้วลองพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าจะยังให้ลูก หลาน ดื่มโค้ก และเป็ปซี่ แทนน้ำ กันอีกหรือเปล่า นอกจากการกัดกระเพาะ ฟันผุกร่อนแล้ว ตอนนี้ก็ได้มีข่าวที่ยอมออกข่าวระบุเสียที (จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้น่าแปลกใจเท่าใดนักสำหรับพวก food science หรือนักเคมี) เรื่องบางเรื่องต้องรอให้หน่วยงาน องค์กรเป็นคนประกาศ ไม่งั้นธรรมดาอย่างเราๆพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ หรือไม่งั้นโดนฟ้องรอพิสูจน์กันอีกยาว ดังนั้น meepole เอาที่เป็นข่าวแล้วมาบอกต่อ ช้าไปนิด แต่ดีกว่าไม่รู้เลย

ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน  meepole เห็นเป็นประจำที่เป็นผู้ซื้อ สั่งประจำเวลาไปร้านอาหารจานด่วนทั้งหลาย ยังไงๆอ่านเรื่องราวข้างล่างนี้แล้ว แม้ว่าสินค้าจะเปลี่ยนในลักษณะของการปรับลดสารอันตรายตัวนั้น แต่ก็ยังมีอยู่ และทุกอย่างที่เป็นที่มาของมะเร็งหรือโรคใดๆก็ตามล้วนมาจากการค่อยๆสะสมทั้งสิ้น(และแบบ diet อันตรายกว่าอีก เป็นที่มาของโรคอันตรายที่นิยมเป็นกันเสียด้วย ลองหาอ่านดู )  หวังนะคะว่าคงมีบางท่านที่ได้เข้ามาอ่านแล้วจะ Change!!!!!!



"โค้กและเป็ปซี่" ประกาศปรับสูตรใหม่ในสหรัฐฯ หลังถูกร้องเรียนผสมสารก่อมะเร็ง
โคคา-โคล่าและเป็ปซี่ กำลังปรับสูตรเครื่องดื่มชื่อดังของตนเสียใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายคำเตือนโรคมะเร็งบนฉลากสินค้า เพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ระบุว่าหนึ่งในสารที่ผสมในเครื่องดื่มสีดำมีสารก่อมะเร็ง โดยส่วนผสมซึ่งเป็นหนึ่งในสารสังเคราะห์ให้สีน้ำตาลเข้มเครื่องดื่มที่มีกลิ่นคล้ายคาราเมล หรือสาร 4-methylimidazole ได้รับการระบุในกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียว่าเป็นหนึ่งในสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

ก่อนหน้านี้ องค์กรอิสระแห่งหนึ่งชื่อว่า Center for Science in the Public Interest ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) สั่งห้ามการใช้สีสังเคราะห์ที่ใช้ทำสีน้ำตาลเข้มให้น่าดื่มในน้ำอัดลมเช่นโค้ก เป๊ปซี่ และยี่ห้ออื่นๆ เนื่องจากสีนี้มีสารเคมีที่ชื่อ 2-methylimidazole (เมธิลอิมิดาโซล) และ 4-methylimidazole ผสมอยู่ด้วย โดยสัตว์ในห้องทดลองที่ได้รับสารเหล่านี้ในปริมาณเพียง 16 ไมโครกรัมก็เป็นโรคมะเร็งได้แล้ว

องค์กรนี้ได้กล่าวว่าการใช้สีสังเคราะห์ซึ่งมากถึง 200 ไมโครกรัม ในน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ เพื่อทำสีให้น่าดื่มจึงไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ด้านสมาคมผู้ผลิตเครื่องดื่มสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังคงไม่พบหลักฐานว่าสารดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ในมนุษย์ ส่วนเอฟดีเออ้างว่า ในกรณีของมนุษย์ จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวถึง 1,000 กระป๋อง จึงจะเท่ากับปริมาณสารเคมีที่ถูกใช้ทดลองกับสัตว์ในห้องแล็บ (อันนี้เป็นข้ออ้างยอดนิยมค่ะ-meepole)

            ทั้งสองบริษัทประกาศว่าได้ทำการปรับสูตรเครื่องดื่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วทั่วประเทศ เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้านสมาคมเครื่องดื่มอเมริกัน เผยว่า ทั้งโค้กและเป็ปซี่ จะยังคงใช้สารดังกล่าวเช่นเดิม แต่จะมีการปรับสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนีย และผู้บริโภคเองก็จะไม่รู้สึกว่ารสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยนไปแต่อย่างใด และจะไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพใดๆ ด้านตัวแทนของโคคา-โคล่า เผยว่า บริษัทได้ส่งสูตรใหม่ที่มีการปรับลดสาร 4-methylimidazole ให้แก่โรงงานผลิตทั่วประเทศแล้ว เพื่อให้ส่วนผสมเป็นไปในทางเดียวกัน



รู้แล้วก็...คิดสักนิดก่อนกิน เด็กๆมีอนาคตอีกนาน อย่าก่อบาปให้พวกเขาเลยบอกเขา สอนเขา ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด

ที่มาข่าว : มติชนออนไลน์ ประจำวันที่ 9 มีนาคม 2555 ผู้เขียน: มติชนออนไลน์

เพิ่มเติม

สีดำของน้ำอัดลมพวกโค้กและเป๊บซี่นั้นได้มาจากสีของคาราเมล หรือที่เรียกกันว่า Caramel colouring ได้จากปฏิกิริยาเคมีของน้ำตาลเมื่อโดนความร้อนจะกลายเป็นสารที่มีสีน้ำตาลดำๆ และมีกลิ่นหอม

ในการทำคาราเมลสำหรับใส่น้ำอัดลม โรงงานผู้ผลิตจะเพิ่มแอมโมเนีย (ammonia) หรือ ammonium sulfite ลงไปเพื่อให้สีของคาราเมลเข้มขึ้น และในปฏิริยานี้จะเกิดผลพลอยได้เป็นสารตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า 4-methylimidazole

ในเดือนธันวาคม 2011 รัฐแคลิฟอร์เนียก็ประกาศให้ 4-methylimidazole เป็นสารก่อมะเร็งที่ถูกควบคุมด้วยญัตติ Proposition 65 ซึ่งขีดเส้นระดับขั้นต่ำของ 4-methylimidazole ไว้อยู่ที่ 29 ไมโครกรัม จากการสำรวจโดย Center for Science in the Public Interest (CSPI) โค้กและเป๊บซี่หนึ่งกระป๋องมี 4-methylimidazole ประมาณ 103-153 ไมโครกรัม เกินกว่าระดับขั้นต่ำหลายเท่า

ดังนั้นหากตอนนี้ใครไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าโค้กกับเป๊บซี่ที่นั่นสีจางกว่าของบ้านเรา ก็อย่าแปลกใจ สีไม่ได้ตกนะเอ่ย แค่ลดสารอันตรายลงเท่านั้นเอง J

Monday, 19 March 2012

สารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศ (1)

ที่มาภาพ: familyhomesecurity.com
by meepole
ปัจจุบันจะเห็นว่าในสังคมเรานอกจากจะมีเพศหญิง เพศชาย ตามปกติที่ธรรมชาติสร้างกันมาแล้ว เรายังมีลักษณะที่ไม่ตรงกับเพศที่กำเนิดมา ที่เรามักเรียกกันในยุคนี้ว่า การเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องภาวะด้านจิตใจ ส่งผลมาถึงบุคลิกและพฤติกรรม เกิดได้กับทั้งสองเพศ ทำให้มีคำเรียกทางสังคมมากมายขึ้นในยุคนี้  มีงานวิจัย ข้อสมมุติฐานมากมายที่พยายามหาคำตอบอธิบายในเรื่องนี้อยู่ว่ามันเกิดจากอะไร หรือเกิดได้อย่างไร ซึ่งข้อสันนิษฐานมีทั้งกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดูจากครอบครัว อาหาร และสารเคมี เป็นต้น

ปัจจัยจาก สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดูจากครอบครัว เด็กๆคงเลี่ยง เปลี่ยนได้ยาก  หรือจะเลี้ยงดูแบบไหน เป็นปัจจัยภายนอกที่จะควบคุมได้ลำบาก เพราะมันคงต้องเป็นเช่นนั้น ส่วนกรรมพันธุ์ เป็นอะไรที่เปลี่ยนไปไม่ได้แล้ว ส่วนสารเคมีที่มีในทั้งอาหารและของใช้ต่างๆเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ เรียนรู้ เพื่อหลีกเลี่ยงการบริโภคสะสมอยู่ในร่างกายจนส่งผลต่อระบบต่างๆแล้วทำให้เกิดการเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ปัจจุบันมีการค้นพบสารเคมีหลายชนิดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยสารเหล่านี้ถูกสังเคราะห์ใช้ในด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ปนในเครื่องใช้ ของใช้ต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ชาวบ้านทั่วไปจะรู้เรื่อง รู้จักสารเหล่านี้ นั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่นับวันจะทำให้การเบี่ยงเบนทางเพศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากจะเกิดคำถามว่าการเบี่ยงเบนทางเพศแล้วเป็นยังไง ทำให้ใครเดือดร้อน นั่นไม่ไช่ประเด็นของการเขียนเรื่องนี้ แต่ที่เขียนเรื่องนี้เพราะหากพ่อแม่คนใด หรือกระทั่งเด็กที่สามารถอ่านหนังสือเข้าใจ อยากมีเพศตรงตามธรรมชาติที่ได้กำเนิดมาได้มีโอกาสอ่านและทราบ จะได้สามารถนำไปป้องกันความเสี่ยงอันอาจเกิดได้ และที่สำคัญสารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศนั้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพด้านอื่นๆด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง

ลองมาทำความรู้จักสารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศบางตัวที่ได้มีการศึกษาแล้ว ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเราๆท่านๆก็ใช้กันอยู่โดยไม่รู้ตัว

สารฟธาเลต
คุณผู้หญิงทั้งหลาย ตลอดจนคุณผู้ชายทันสมัยบางคน มักจะเข้าร้านเสริมสวย สระผม ไดร์ผม ช่างทำผมตกแต่งเสร็จก็จะฉีดสเปรย์ใส่ผม สเปรย์ฉีดผมก็จะมีสารชนิดหนึ่งมากเป็นพิเศษ คือ สารฟธาเลต (Phthalate อ่านว่า ธาเลต) ซึ่งจากการศึกษาวิจัยในประเทศอังกฤษระบุว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ใช้สเปรย์ฉีดผมมาก มีโอกาสที่ลูกในครรภ์จะป่วยเป็นโรคไฮโพสปาเดียส (Hypospadias) สูงถึง 2 เท่าตัว โรคนี้จะทำให้ท่อปัสสาวะของผู้ชายมีลักษณะผิดปกติ และมีการพบว่ามีส่วนทำให้น้ำหนักตัวของทารกแรกเกิดน้อยกว่าปกติด้วย


นอกจากนี้ ยังพบว่าสารนี้ยังก่อให้เกิดการเบี่ยงเบนทางเพศของเด็กชาย โดยกระบวนการเบี่ยงเบนทางเพศเป็นลักษณะหญิง จะเกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ เมื่อมารดาได้รับสารพิษจะทำให้การทำงานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเด็กชายในครรภ์ถูกรบกวน แม้กระทั่งเป็นหนุ่มแล้วสารนี้ก็มีผลต่อคุณภาพของน้ำเชื้ออสุจิอีกด้วย ลองอ่านข้างล่างนี้แค่ส่วนหนึ่งให้เชื่อมั่นว่าน่าขยอง...(ขยาด+สยอง)

“Animal studies have shown consistently that phthalates depress testosterone levels. Recent human studies have found that phthalates are associated with poor semen quality in men and subtle changes in the reproductive organs in boy babies.”(Stahlhut R., M.D., M.P.H., The University of Rochester)



นักวิจัยพบว่าเด็กชายที่ได้รับสารฟธาเลตสูงตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะไม่ชอบการเล่นของเล่นพวกรถไฟ หรือปืน พูดง่ายๆคือไม่ชอบของแบบเด็กผู้ชายชอบเล่น อีกทั้งไม่ชอบการเล่นที่รุนแรง แต่กลับสนใจการละเล่นหรือของเล่นที่เด็กหญิงชอบเช่น ตุ๊กตา สนใจของสวยงาม ทาเล็บสีสวย ลิปสติกสีสด เป็นต้น

นอกจากในสเปรย์ฉีดผมแล้ว สารฟธาเลตยังพบมากในไวนิล พีวีซี และพลาสติกหลากหลายชนิดด้วย (ไว้ตอนต่อไป) ดังนั้นหากแม่กำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ฉีดผม สเปรย์ปรับอากาศ น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม และยาระงับกลิ่นกายทั้งหลายจะเป็นการดีที่สุด

เพิ่มเติม  ในเพศชาย ฮอร์โมนเพศจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และเริ่มมากขึ้นอีกครั้ง ในช่วงของวัยรุ่นจนเป็นหนุ่มเต็มที่.. จากนั้นก็จะอยู่คงที่ในช่วงวัยผู้ใหญ่จนอายุประมาณ 40-45 ปี การสร้างฮอร์โมนเพศชายก็จะค่อยๆลดลง

Saturday, 25 February 2012

รู้หรือไม่ว่า..อันตราย!!

ที่มาภาพ : imagesante.be

  • ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาได้รณรงค์เพื่อยกเลิกการใช้น้ำยาซักผ้าขาว เนื่องจากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มของมะเร็งเต้านมในผู้หญิง การลดลงของสเปิร์มในผู้ชาย และความผิดปกติในการเรียนรู้และพฤติกรรมในเด็ก
  • สมาคมโรคปอดและโรคหอบหืดของแคนาดาพบว่า สารเคมีที่ใช้ความสะอาดภายในบ้านและเครื่องสำอางเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญของโรคหอบหืด
  • น้ำยาล้างเล็บส่วนใหญ่มี อะซีโตน หรือ เอธิลอะซีเตท เป็นตัวทำละลายตัวอื่นอีก เมื่อกินเข้าไป อะซีโตนจะถูกดูดซึมจากกระเพาะและเยื่อเมือก ทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่ อาเจียนและการกดระบบประสาท
  • เรารู้หรือไม่ว่าน้ำยาทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์ที่ใช้เกี่ยวกับร่างกาย สารพิษที่ออกมาในอากาศในรูปของไอหรือละออง ที่เราใช้กันอยู่นั้น เด็กๆ มีโอกาสรับเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากสารพิษพวกนี้จะมีน้ำหนักมากและลอยอยู่ใกล้พื้นมากกว่า
  • ตัวทำละลาย เช่น Formaldehyde, phenol, benzene, toluene และ xylene พบในสารเคมีที่ใช้ทำความสะอาดภายในบ้าน เครื่องสำอาง เครื่องดื่มที่มีสีผสม ผ้าที่มีน้ำยารักษาผ้าหรือน้ำยาทำความสะอาด และ ควันบุหรี่ ทำให้เกิดมะเร็งและเป็นพิษต่อระบบภูมิคุ้มกัน
  •  น้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกบางชนิดจะมีสารเคมี ได้แก่ แนฟธา (naphta) ซึ่งกดระบบประสาท สารไดเอธาโนลามีน (diethanolamine) มีอันตรายต่อตับ
  • ข้อมูลที่ได้จากประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าสารเคมีที่อยู่ในบ้านกว่า 150 ชนิด ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ความพิการของเด็กเมื่อคลอดออกมา รวมถึงโรคมะเร็ง และสุขภาพจิตผิดปกติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการได้รับสารพิษพวกนี้สะสมเข้าไป
จริงอยู่สารเคมีทุกชนิดเป็นอันตราย แต่ถ้าเราใช้ให้ถูกขนาด ถูกวิธี ก็จะลดอันตรายเหล่านั้น และสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เรื่องสารเคมีอันตรายที่มีในผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสามารถเลือกใช้ให้ปลอดภัยมากที่สุด แต่วิธีที่ดีที่สุดคือพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้ ถ้าไม่จำเป็น หรือเลือกใช้สารที่ปลอดภัยกว่าทดแทน (ปัญหาคือ ถ้าไม่ไช่นักเคมี หรือนักวิทย์ฯจะรู้ได้ยังไงว่าสารตัวไหนอันตราย..อันนี้ไม่ยากสงสัยอะไร คนไทยเข้าที่นี่เลยค่ะ 
ศูนย์ความรู้เรื่องความปลอดภัยด้านสารเคมี http://www.chemtrack.org/   meepole ก็ใช้บริการที่นี่ประจำค่ะ:)

    Sunday, 12 February 2012

    ส้วมไฮเทค..อ่านก่อนซื้อ

                                 by meepole
    ที่มาภาพ: fractiousllama.typepad.com

    เมื่อวานเข้าไปอ่านบล็อกของเพื่อนจากแดนไกล เรื่อง "ห้องน้ำ ห้องท่า " เป็นเรื่องของ "ส้วมไฮเทคฯ" อ่านแล้วให้เกิดความขยอง (ขยาด+สยอง) ตามจินตนาการของ meepole ที่ค่อนข้างคิดลบกับเชื้อโรค เห็นอะไรก็อดคิดๆโยงเข้าไปถึงความสะอาด และการติดเชื้อแบบไม่คาดคิด ซึ่งตอนนี้มีมากจนน่ากลัวทีเดียว หากใครได้เคยรู้ความจริงหรือสังเกตุดูว่าคนปัจจุบันป่วยด้วยโรคหนึ่ง จะส่งรพ.หรือไม่ก็ตาม แต่ตอนตายมักจะตายด้วยการติดเชื้อ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า เชื้อโรคมีทุกหนแห่ง เมื่อใดที่ร่างกายมีช่องเปิดให้เข้าก็เข้าได้ เมื่อร่างกายอ่อนแอก็ติดเชื้อง่ายขึ้น แพร่กระจายไปรวดเร็วกว่าเมื่อร่างกายแข็งแรงอันเกี่ยวเนื่องจากภูมิต้านทานและเม็ดเลือดขาว ทุกวันที่เราต้องได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายมากบ้างน้อยบ้าง อันตรายบ้าง อันตรายน้อยบ้าง ร่างกายก็จะส่งทหารเอกมาปราบ รบชนะเราก็ปกติสุข รบแพ้เราป่วย ขณะรบบางทีก็มีอาการไข้ ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัวให้สังเกตุ ลองคิดดูว่าร่างกายเราต้องเสียทหารป้องกันสู้เชื้อในแต่ละวันมากน้อยแค่ไหน เสียพลังงานไปมากเพียงใด เราจึงควรหาทางป้องกัน หลีกเลี่ยงการสูญเสียทหาร เสียพลังงานเหล่านั้น แถมทำให้ร่างกายเราทรุดโทรมเร็ว อ่อนแอลง  ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นหากเราตระหนักตลอดเวลา เพื่อถนอมสุขภาพ การจะใช้ผลิตภัณฑ์ใด ที่มีการผลิตออกมาตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ชอบเครื่องทุ่นแรง ลดเวลา เพิ่มความสะดวกสบาย ควรต้องคิดพิจารณาสักนิดว่ามันจำเป็นจริงๆนะหรือที่ต้องใช้ มันน่าจะมีผลดี ผลเสียที่จะตามมาอะไรบ้าง หาข้อมูลให้รอบตัวก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ สินค้าไม่หมดตลาดง่ายๆหรอก ...

    เรื่องส้วมไอเทคประเภทอัตโนมัติทุกอย่าง ยกเว้นอย่างน้อยต้องใช้มือเรากดปุ่ม ยังไม่ได้สั่งด้วยเสียง (อนาคตคงมี) เมื่อเดือนที่แล้วไปเดินโฮมโปรก็เห็นเจ้าชักโครกแบบดังกล่าวแล้วมีปุ่มฉีดล้าง ปุ่ม.. และปุ่ม..เพื่อนกลุ่มที่ไปด้วยก็ทดลองเล่น หาความรู้ หัวเราะกันแต่ไม่มีใครคิดจะซื้อเลยไม่ได้ดูราคา ไม่ได้คิดมาก หากจะคิดซื้อคงคิดอะไรๆมากกว่านี้ แต่ตอนนี้สนุกสนานขำ function ของมัน

    เครื่องถัดมาที่มีข่าวตอนใหม่ๆทุกคนตื่นเต้นสนุก เริ่มเอามาใช้ก็ที่โรงแรมหรูๆก่อน หลังจากนั้นก็มีใช้ทั่วไปตอนนี้ในส้วมสาธารณะก็มีใช้แล้ว คือ "เครื่องเป่าลมให้แห้ง" ใช้หลังจากล้างมือเสร็จ เอามือไปรอง ลมอุ่นๆจะพ่นออกมา ตอน meepole สอนนักศึกษารุ่นแรกๆที่มีข่าวการใช้เครื่องนี้ เคยบอกเขาว่าอีกไม่นานคนจะเลิกใช้กันไปเอง เพราะจะเป็นตัวแพร่เชื้อได้ดี เพราะพ่นกระจาย เวลาเอามือไปรองให้ลมผสมเชื้อพ่นใส่มือที่อุตส่าห์ล้างจนสะอาดแล้ว เมื่อ 6 ปีที่แล้ว meepole เคยให้นักศึกษาทำวิจัยเอาจานอาหารเลี้ยงเชื้อไปรองรับลมที่พ่นออกจากเครื่องดังกล่าว แล้วมาบ่มเพาะ นศ.ได้เห็นชัดเป็นประจักษ์แก่สายตาว่า อี๋! อึ๋ย!! เชื้อสารพัดเต็มจาน ยังมีการทดลองแบบอยากรู้ของ meepole อีกหลายชิ้นงาน วันดีๆค่อยเอามาลงให้อ่านอีก

    เรื่องของเครื่องเป่าลม ไม่นานมานี้ก็ได้มีงานวิจัยตีพิมพ์ออกมาถึงอันตราย ข้อควรระวังแบบที่ meepole เคยทดลองมาก่อน (มันเป็นงานเล็กๆ ง่ายๆ แต่หากคนไทยพูดเสียงมันเบา ต้องฝรั่งพูด คนไทยจะเชื่อ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ :) ลองอ่านดูในนี้นะคะเผื่อจะได้อย่างอื่นติดไปบอกต่อด้วย  http://www.th.kimberly-clark.com/thai/news-new-virus2.html

    เรื่องส้วมไฮเทคนี้คงอีกเป็นปี ต้องมีการใช้แพร่หลายก่อน แล้วไม่นานจะมีข่าวการติดเชื้อของส่วนล่าง ซึ่งแน่นอนว่าอันตรายกว่ามือเยอะเพราะบริเวณนั้นของคนมีช่องเปิด เนื้อเยื่อที่บอบบางต่อการติดเชื้อง่าย บางคนมีแผลไม่ว่าจากแผลริดสีดวง หรือหูรูดต่างๆหลังถ่าย หรือ... และหากเราไม่รักษาความสะอาดอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างระวังทุกครั้ง อาจทำให้คนต่อๆไปได้รับเชื้อ และลองคิดดูว่าหากส้วมนี้นำไปใช่ในที่สาธารณะมันจะน่าขยองเพียงใด บรื๋อ!!!

    meepole มองในแง่การติดเชื้อ เพราะจบด้านเชื้อมา แต่ก็มีอีกหลายมุมมองซึ่งหาอ่านต่อได้จากที่มิตรจากแดนไกล (คนบ้านไกล) ผู้จุดประกายการเขียนเรื่องนี้ได้จาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/478386

    เรื่องนี้เป็นเพียงแง่คิดของ meepole ผู้ไกล้แก่เท่านั้น หากท่านใดยังคงสนใจจะซื้อสินค้าดังกล่าวก็แล้วแต่ความสบายใจ สบายกระเป๋า และมันอาจเหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์จริงๆ ซึ่งก็อย่างที่บอกไว้ต้องเอาใจใส่ความสะอาดของอุปกรณ์ แต่หากตอนนี้ยังแข็งแรงปกติ ใช้อัตโนมือ น่าจะดีกว่า อย่างน้อยเก็บเงินไว้ซื้ออย่างอื่นที่จำเป็นกว่านะเอ่ย :) และหากวันใดที่ไม่อยากใช้แล้ว คงส่งต่อเป็นของมือสองไม่ได้ ก็เอาไปทำประโยชน์แบบที่เอารูปมาให้ดูข้างต้นได้เลยนะคะ



    ที่มาภาพ : bits-of-english.exteen.com

    Friday, 3 February 2012

    ชีวิตเสี่ยงภัยเมื่อหมดโปรโมชั่น 2

    by meepole

    เด็กกับความเสี่ยงต่อภาวะพิษสารตะกั่ว (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    เชื่อไหมว่าพ่อแม่ไม่มีรู้เลยว่าลูกน้อยได้รับพิษจากตะกั่วไปแล้วจนกว่าจะสายเกินแก้...
    เพราะเมื่อเด็กคนหนึ่งได้รับพิษจากสารตะกั่วไปแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะสมองที่กำลังพัฒนาไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ โดยหากเด็กได้รับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายจากอาหารและน้ำดื่มเป็นระยะเวลานาน จะทำให้สมองมีการสูญเสียอย่างถาวร อีกทั้งพัฒนาการของเด็กจะยังคงล่าช้าเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน แม้จะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม

    ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารตะกั่วจากทางเดินอาหารได้ร้อยละ 11 ในผู้ใหญ่แต่สำหรับเด็กจะดูดซึมได้ร้อยละ 30-75 จึงทำให้เด็กมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ โดยไม่แสดงอาการใดๆให้เห็น และการวินิจฉัยภาวะตะกั่วเป็นพิษทำได้ค่อนข้างยากยาก

    เมื่อเด็กได้รับสารตะกั่วเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลอันตรายต่อการพัฒนาการของสมองทันที มีงานวิจัยพบว่าพิษจากสารตะกั่วมีผลโดยตรงต่อระดับสติปัญญา สมองและระบบประสาทอย่างถาวรในเด็ก (Rogan et al, 2001) และ IQ จะลดลง 4.6 ถ้าระดับสารตะกั่วในเลือด น้อยกว่า 10 mcg/dLและลดลง 7.4 ถ้าระดับสารตะกั่วในเลือด มากกว่า10 mcg/dL ( Canfield et al, 2003)
    ที่มาภาพตะกั่ว images-of-elements.com

    แม้ว่าได้มีความพยายามที่จะลดสารตะกั่วออกจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเช่น การใช้น้ำมันที่ปราศจากสารตะกั่ว การใช้ท่อประปาที่ทำจาก PVC การรณรงค์ไม่ซื้ออาหารที่บรรจุด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เป็นต้น แต่ก็ยังพบสารตะกั่วได้ในสิ่งแวดล้อม จากการตรวจเลือดเด็กในเมืองก็ยังพบสารตะกั่วในเลือดมากกว่าเด็กในชนบท จากงานวิจัยของ พญ จันทิมา ใจพันธ์และคณะ (2553) พบว่า 9.6% เด็กอายุ 2-6 ปี ในกรุงเทพมีระดับสารตะกั่วในเลือด มากกว่า 10 mcg/dL และพบว่า 27.4% ในเด็กอายุ 6-12 ในกรุงเทพมีระดับสารตะกั่ว ในเลือด มากกว่า 10 mcg/dL

    นอกจากนี้สารตะกั่วยังส่งผลต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ หากมีสารตะกั่วปริมาณมากอาจจะทำให้เกิดแท้ง คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ การทำงานของสมองจะพัฒนาช้า ปัญญาอ่อน ชัก

    เด็กได้รับตะกั่วจากไหน
    มักจะพบการปนเปื้อนของสารตะกั่วในอาหาร น้ำดื่ม และฝุ่นในอากาศ ภาชนะบรรจุ ของเล่นเด็ก สีผนังบ้าน ดินในสนามหรือสวน แม้กระทั่งในแป้งเด็กบางชนิด
    เนื่องจากพฤติกรรมของเด็กที่ใช้มือหยิบของเข้าปาก รวมถึงการมีกิจกรรมบนพื้นของเด็กที่มีการปนเปื้อนด้วยสารตะกั่ว จึงทำให้พบปริมาณสารตะกั่วสูงในเด็ก หรือกระทั่งอาศัยในบริเวณที่มีควันรถมาก 

    ดังนั้นการที่จะทำให้เด็กไทยพ้นภัยและห่างไกลจากพิษภัยของสารพิษจากพลาสติกและตะกั่วได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องทำให้พ่อ แม่และผู้ปกครอง เกิดความตระหนัก มีความรู้ ความเข้าใจถึงพิษภัยต่างๆ ที่แฝงมากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก

    ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะต้องให้ความสำคัญในการป้องกันและดูแลสิ่งแวดล้อมภายใต้ขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มความสามารถ เพื่อปกป้องบุตรหลานให้ปลอดภัย มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและเติบโตสมวัย ไม่ไช่ทำเพื่อเรียกกระแส ตัดงบประมาณ รณรงค์เป็นคราวๆโดยไม่มีอะไรดีขึ้น   สำหรับเราผู้บริโภคต้องจำใส่ใจและตระหนักว่า

    ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย ที่สำคัญพบว่าไม่มีระดับ สารตะกั่วในเลือดค่าใดที่ถือว่าปลอดภัยอย่างแท้จริง  เพราะพิษตะกั่วที่มีผลต่อสมองจะเกิดอย่างถาวรแม้ว่าจะทำการรักษาแล้วก็ตาม

    หมายเหตุ  หน่วย  mcg/dL คือ ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร

    อ้างอิง:
    • พญ จันทิมา ใจพันธ์ และคณะกุมภาพันธ์ 2553. การศึกษาความเสี่ยงต่อการได้รับสารตะกั่วของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน สังกัดของกรุงเทพมหานคร  มหาวิทยาลัยมหิดล
    • Banks, E. C., Ferretti, L. E., & Shucard, D. W. (1997). Effects of low level lead exposure on cognitive function in children: A review of behavioral, neuropsychological and biological evidence. NEUROTOXICOLOGY, 18(1), 237-282. 
    • Binns, Helen J. - Ricks, Omar Benton Helping Parents Prevent Lead Poisoning. ERIC Digest
    • Canfield RL, Henderson CR Jr, Cory-Slechta DA, Cox C, Jusko TA, Lanphear BP., 2003. Intellectual impairment in children with blood lead concentrations below 10 microg per deciliter, N Engl J Med.;348(16):1517-26.
    • Rogan, W. J., Dietrich, K. N., Ware, J. H., Dockery, D. W., Salganik, M., Radcliffe, J., Jones, R. L., Ragan, N. B., Chisolm, J. J., & Rhoads, G. G. (2001). The effect of chelation therapy with succimer on neuropsychological development in children exposed to lead. NEW ENGLAND JOURNAL OF MEDICINE, 344(19), 1421-1426. 
    • Yeoh B et al., 2009. Household interventions for prevention of domestic lead exposure in children, Cochrane summaries.
     

    Saturday, 28 January 2012

    ชีวิตเสี่ยงภัยเมื่อหมดโปรโมชั่น 1

     by meepole
    ที่มาภาพ: learners.in.th

    เมื่อวานสอนนักศึกษาวิชาชีวเคมีสิ่งแวดล้อมว่าด้วยเรื่องสารเคมีและสารพิษ ร่ายยาวไปทั้งสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม จากการเกษตร ในที่สุดเข้ามาไกล้ตัวคือในบ้าน และท้ายสุดสารปนเปื้อนอันตรายในอาหาร สอนไปก็ถามเรื่องที่คิดว่าเขาน่ารู้เพราะเป็นข่าวครึกโครมเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ออกตรวจเข้มจริงจัง แต่ตอนนี้หมดโปรโมชั่น เงียบสนิท หากไม่ระวังก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน

    คงเคยเห็นพาดหัวข่าวหรือได้ยินข่าวทำนองนี้ออกมาเป็นระยะๆ

    "หึ่ง!! เด็กอุ้มผาง มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐาน 60%" (ผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2554 )หรือ  ..........สช. ชี้เด็กไทยยังเสี่ยงภัยจากสารพิษ "พลาสติก-ตะกั่ว"หนุนให้ความรู้ พ่อแม่-ชุมชน-ภาครัฐ ป้องกันการปนเปื้อน…………"สาธารณสุขอุดรฯ เตือนภัย สารตะกั่วในหม้อก๋วยเตี๋ยว"............  "อนามัย เตือนอันตรายตะกั่วจากหม้อก๋วยเตี๋ยวด้อยคุณภาพ ชี้ พิษสะสมมากเสี่ยงอัมพาต" (มิย. 2011) เป็นต้น อันนี้ทำเอาหม้อก๋วยเตี๋ยวไร้สารตะกั่ว หลายยี่ห้อทำเงินได้มากมาย

    คนไทยเมื่อได้ข่าวทำนองนี้ ไม่ว่าจากงานวิจัยหรือจากเมื่อมีคนเข้ารพ.แล้วออกข่าว ก็จะตื่นตัว ตื่นตูม จากนั้นก็จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารับลูกต่อ ประชุม ตั้งงบ ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ ให้สัมภาษณ์ ใช้งบ หมด เรื่องเงียบ หมดโปรโมชั่น รอรอบใหม่ ..มันเป็นเสียอย่างนี้สำหรับเกือบทุกเรื่อง เงินหมดทีละเป็นหลายสิบถึงร้อยล้านสำหรับการรณรงค์แก้ปัญหาเรื่องหนึ่งๆ แต่ก็ไม่ได้ผลต่อเนื่องเพราะคนไทยไม่ตระหนัก ไม่ใส่ใจคุณภาพชีวิตจริงจัง ประมาท ส่วนมากจะสนใจเมื่อไกล้แก่ หรือป่วยแล้วเท่านั้น มาแก้ที่ปลายเหตุ การระวังป้องกันไม่สนใจ

    เรื่องนี้มันไกล้ตัวเรามาก มันอยู่ในบ้านเราเลย แต่เรามักละเลย ลืม คิดไม่ถึง มันเลยเข้าไปสะสมในร่างกายเรา ลูกเล็กเด็กแดง จนตอนนี้มีข่าวสถิติที่เด็กไทย IQ เฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงของอนาคตของชาติเลยทีเดียว


    โลหะหนัก: ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ

    โลหะหนักเป็นสารที่คงตัว ไม่สามารถสลายตัวได้ในกระบวนการธรรมชาติจึงมีบางส่วนตกตะกอนสะสมอยู่ในดิน ตะกอนที่อยู่ในน้ำ รวมถึงการสะสมอยู่ในสัตว์น้ำซึ่งเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างโลหะหนักเช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท สารหนู

    โลหะหนักเป็นวัตถุดิบที่ถูกนำมาใช้ในหลายภาคส่วน เช่น ในด้านอุตสาหกรรม เราใช้โลหะหนักในการผลิตพลาสติก พีวีซี สี ถ่านไฟฉาย สำหรับทางด้านการเกษตร โลหะหนักเป็นส่วนผสมของยาฆ่าแมลงและปุ๋ย ขณะเดียวกันทางการแพทย์ใช้โลหะหนักเป็นส่วนผสมของยา อุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องสำอาง

    โลหะหนักบางชนิดให้ทั้งคุณและโทษต่อสิ่งมีชีวิต ขึ้นกับชนิดของสิ่งมีชีวิตและปริมาณที่ได้รับเข้าไป ในชีวิตประจำวันเรามีความเสี่ยงต่อการนำโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการบริโภคอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีสารเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่

      ที่น่าตกใจกว่านั้นคือสารโลหะหนัก ตะกั่ว มีผลต่อสมองและพัฒนาการของเด็ก พูดให้ตรงคือผลต่อสติปัญญา ที่เรามักพูดว่า IQ นั่นเอง เราคงไม่อยากให้ลูกหลานเราเกิดมาแล้วมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกันไช่ไหมคะ งั้นคงต้องระมัดระวังกันให้มากเพราะกว่าจะรู้ตัวมักสายเสียแล้วจริงๆ  

    มีงานวิจัยมากมายมีการศึกษาและยืนยันตรงกันว่า ตะกั่วทำลายสมอง ไขกระดูก ระบบประสาท ตับ ไต หัวใจ  และทางเดินอาหาร ฯลฯส่งผลให้เกิดอาการ  ปวดศีรษะ รู้สึกสับสน ความจำเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ  โลหิตจาง  เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดอาการตกเลือด  เกิดอาการเพ้อ  ชัก เป็นอัมพาต
    โดยปกติไม่ต้องห่วง (คิ คิ) เรามักจะมีตะกั่วอยู่ในกระแสเลือดไม่มากก็น้อยต่างๆกันอยู่แล้วเพราะสารนี้แพร่กระจายไปทั่วและมีในของใช้ ของกินในบ้านทุกบ้าน แต่กระนั้นเราจำเป็นต้องรู้ เข้าใจเพื่อลดความเสี่ยงที่จะได้รับมากขึ้นจนส่งผลอันตรายต่อชีวิต

    เราพบสารตะกั่วได้ที่ไหนในบ้านบ้าง
    ในน้ำดื่ม น้ำประปา ภาชนะหุงต้มที่เชื่อมด้วยสารตะกั่ว ภาชนะจัดเก็บอาหาร ภาชนะ ceramics ที่มีตะกั่ว  แก้วน้ำ ช้อน ยาสมุนไพร หมึก แป้งทาตัวเด็ก (จุ้ยฮุ้ง) ตะกั่วถ่วงน้ำหนักม่าน สารตะกั่วจากหนังสือพิมพ์ สีที่ทาบ้าน ของใช้สีจัด ของเล่นเด็ก เป็นต้น


    ตอนหน้ามาติดตามอ่านผลงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กกับความเสี่ยงต่อภาวะพิษสารตะกั่ว
    และระดับการพัฒนาการของสมองกันต่อนะคะ    

    อ้างอิง                           
    • พญ จันทิมา ใจพันธ์ และคณะกุมภาพันธ์ 2553. การศึกษาความเสี่ยงต่อการได้รับสารตะกั่วของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน สังกัดของกรุงเทพมหานคร  มหาวิทยาลัยมหิดล
    • Banks, E. C., Ferretti, L. E., & Shucard, D. W. (1997). Effects of low level lead exposure on cognitive function in children: A review of behavioral, neuropsychological and biological evidence. NEUROTOXICOLOGY, 18(1), 237-282. 
    • Binns, Helen J. - Ricks, Omar Benton Helping Parents Prevent Lead Poisoning. ERIC Digest
    • Canfield RL, Henderson CR Jr, Cory-Slechta DA, Cox C, Jusko TA, Lanphear BP., 2003. Intellectual impairment in children with blood lead concentrations below 10 microg per deciliter, N Engl J Med.;348(16):1517-26.
    • Rogan, W. J., Dietrich, K. N., Ware, J. H., Dockery, D. W., Salganik, M., Radcliffe, J., Jones, R. L., Ragan, N. B., Chisolm, J. J., & Rhoads, G. G. (2001). The effect of chelation therapy with succimer on neuropsychological development in children exposed to lead. NEW ENGLAND JOURNAL OF MEDICINE, 344(19), 1421-1426. 
    • Yeoh B et al., 2009. Household interventions for prevention of domestic lead exposure in children, Cochrane summaries.