ช่วงนี้กำลังมีสมาธิเร่งเขียนตำราอยู่เลยเอาข่าวที่น่าสนใจมาให้อ่าน เผื่อใครที่ตกข่าวจะได้รู้แล้วลองพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าจะยังให้ลูก หลาน ดื่มโค้ก และเป็ปซี่ แทนน้ำ กันอีกหรือเปล่า นอกจากการกัดกระเพาะ ฟันผุกร่อนแล้ว ตอนนี้ก็ได้มีข่าวที่ยอมออกข่าวระบุเสียที (จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้น่าแปลกใจเท่าใดนักสำหรับพวก food science หรือนักเคมี) เรื่องบางเรื่องต้องรอให้หน่วยงาน องค์กรเป็นคนประกาศ ไม่งั้นธรรมดาอย่างเราๆพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ หรือไม่งั้นโดนฟ้องรอพิสูจน์กันอีกยาว ดังนั้น meepole เอาที่เป็นข่าวแล้วมาบอกต่อ ช้าไปนิด แต่ดีกว่าไม่รู้เลย
ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน meepole เห็นเป็นประจำที่เป็นผู้ซื้อ สั่งประจำเวลาไปร้านอาหารจานด่วนทั้งหลาย ยังไงๆอ่านเรื่องราวข้างล่างนี้แล้ว แม้ว่าสินค้าจะเปลี่ยนในลักษณะของการปรับลดสารอันตรายตัวนั้น แต่ก็ยังมีอยู่ และทุกอย่างที่เป็นที่มาของมะเร็งหรือโรคใดๆก็ตามล้วนมาจากการค่อยๆสะสมทั้งสิ้น(และแบบ diet อันตรายกว่าอีก เป็นที่มาของโรคอันตรายที่นิยมเป็นกันเสียด้วย ลองหาอ่านดู ) หวังนะคะว่าคงมีบางท่านที่ได้เข้ามาอ่านแล้วจะ Change!!!!!!
"โค้กและเป็ปซี่" ประกาศปรับสูตรใหม่ในสหรัฐฯ หลังถูกร้องเรียนผสมสารก่อมะเร็ง |
|
|
โคคา-โคล่าและเป็ปซี่ กำลังปรับสูตรเครื่องดื่มชื่อดังของตนเสียใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายคำเตือนโรคมะเร็งบนฉลากสินค้า เพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ระบุว่าหนึ่งในสารที่ผสมในเครื่องดื่มสีดำมีสารก่อมะเร็ง โดยส่วนผสมซึ่งเป็นหนึ่งในสารสังเคราะห์ให้สีน้ำตาลเข้มเครื่องดื่มที่มีกลิ่นคล้ายคาราเมล หรือสาร 4-methylimidazole ได้รับการระบุในกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียว่าเป็นหนึ่งในสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
ก่อนหน้านี้ องค์กรอิสระแห่งหนึ่งชื่อว่า Center for Science in the Public Interest ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) สั่งห้ามการใช้สีสังเคราะห์ที่ใช้ทำสีน้ำตาลเข้มให้น่าดื่มในน้ำอัดลมเช่นโค้ก เป๊ปซี่ และยี่ห้ออื่นๆ เนื่องจากสีนี้มีสารเคมีที่ชื่อ 2-methylimidazole (เมธิลอิมิดาโซล) และ 4-methylimidazole ผสมอยู่ด้วย โดยสัตว์ในห้องทดลองที่ได้รับสารเหล่านี้ในปริมาณเพียง 16 ไมโครกรัมก็เป็นโรคมะเร็งได้แล้ว
องค์กรนี้ได้กล่าวว่าการใช้สีสังเคราะห์ซึ่งมากถึง 200 ไมโครกรัม ในน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ เพื่อทำสีให้น่าดื่มจึงไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ด้านสมาคมผู้ผลิตเครื่องดื่มสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังคงไม่พบหลักฐานว่าสารดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ในมนุษย์ ส่วนเอฟดีเออ้างว่า ในกรณีของมนุษย์ จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวถึง 1,000 กระป๋อง จึงจะเท่ากับปริมาณสารเคมีที่ถูกใช้ทดลองกับสัตว์ในห้องแล็บ (อันนี้เป็นข้ออ้างยอดนิยมค่ะ-meepole)
ทั้งสองบริษัทประกาศว่าได้ทำการปรับสูตรเครื่องดื่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วทั่วประเทศ เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้านสมาคมเครื่องดื่มอเมริกัน เผยว่า ทั้งโค้กและเป็ปซี่ จะยังคงใช้สารดังกล่าวเช่นเดิม แต่จะมีการปรับสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนีย และผู้บริโภคเองก็จะไม่รู้สึกว่ารสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยนไปแต่อย่างใด และจะไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพใดๆ ด้านตัวแทนของโคคา-โคล่า เผยว่า บริษัทได้ส่งสูตรใหม่ที่มีการปรับลดสาร 4-methylimidazole ให้แก่โรงงานผลิตทั่วประเทศแล้ว เพื่อให้ส่วนผสมเป็นไปในทางเดียวกัน
รู้แล้วก็...คิดสักนิดก่อนกิน เด็กๆมีอนาคตอีกนาน อย่าก่อบาปให้พวกเขาเลยบอกเขา สอนเขา ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด
ที่มาข่าว : มติชนออนไลน์ ประจำวันที่ 9 มีนาคม 2555 ผู้เขียน: มติชนออนไลน์
เพิ่มเติม
สีดำของน้ำอัดลมพวกโค้กและเป๊บซี่นั้นได้มาจากสีของคาราเมล หรือที่เรียกกันว่า Caramel colouring ได้จากปฏิกิริยาเคมีของน้ำตาลเมื่อโดนความร้อนจะกลายเป็นสารที่มีสีน้ำตาลดำๆ และมีกลิ่นหอม
ในการทำคาราเมลสำหรับใส่น้ำอัดลม โรงงานผู้ผลิตจะเพิ่มแอมโมเนีย (ammonia) หรือ ammonium sulfite ลงไปเพื่อให้สีของคาราเมลเข้มขึ้น และในปฏิริยานี้จะเกิดผลพลอยได้เป็นสารตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า 4-methylimidazole
ในเดือนธันวาคม 2011 รัฐแคลิฟอร์เนียก็ประกาศให้ 4-methylimidazole เป็นสารก่อมะเร็งที่ถูกควบคุมด้วยญัตติ Proposition 65 ซึ่งขีดเส้นระดับขั้นต่ำของ 4-methylimidazole ไว้อยู่ที่ 29 ไมโครกรัม จากการสำรวจโดย Center for Science in the Public Interest (CSPI) โค้กและเป๊บซี่หนึ่งกระป๋องมี 4-methylimidazole ประมาณ 103-153 ไมโครกรัม เกินกว่าระดับขั้นต่ำหลายเท่า
ดังนั้นหากตอนนี้ใครไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าโค้กกับเป๊บซี่ที่นั่นสีจางกว่าของบ้านเรา ก็อย่าแปลกใจ สีไม่ได้ตกนะเอ่ย แค่ลดสารอันตรายลงเท่านั้นเอง J
|
|