Friday, 7 December 2012

ประกาศ เตรียมย้ายบ้าน!!!

meepole หายไปหลายวันเนื่องจากไปดูงานด้านพลังงานในต่างประเทศ (จีน และฮ่องกง) และไม่สามารถใช้ net ฟรีใน Novotel ที่ฮ่องกงได้ เลยเงียบไม่เขียนต่อ และแต่ละวันเหนื่อยพอควร มีเรื่องมากมายที่น่าสนใจ จะนำมาบันทึกไว้เป็นตอนๆ แต่เนื่องจากพื้นที่สำหรับเก็บภาพ ที่ทางบล็อกนี้ให้คือ 1 GB ซึ่งตอนนี้เต็มไม่สามารถใส่ภาพได้อีก หากจะใช้ต่อต้องจ่ายเดือนละ 2.49 $ /เดือน จึงจำเป็นต้องย้ายออกจากบ้านนี้ ...จะหาบ้านใหม่

จึงขอแจ้งให้มิตรผู้มาเยือนทุกท่านทราบล่วงหน้า จะได้แวะไปเยือนกันอีก และจะรีบหาบ้านใหม่และย้ายบ้านอย่างด่วนภายใน 2 วันนี้ แง แง !!!! จะต้องย้ายแล้วหนอ.....เอิงเอย


 
++++++ ย้ายแล้วค่ะ +++

ที่อยู่บ้านใหม่ของ meepole's note อย่าลืมแวะไปเยือนกันเหมือนเดิมนะคะ :)  ที่

http://meepolen2.blogspot.com/

ส่วนของ meepole's silent corner  และ บ้านปลอดพิษ ชีวิตปลอดภัย จะกลับมาแจ้งในนี้อีกครั้ง นะเอิงเอย :)
8/12/2555


 

Saturday, 10 November 2012

อารมณ์ ก่อเกิดโรค


 

 
ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย และไม่ชอบหาหมอ ทานยา หรือเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆใช่ไหมคะ อ่านเรื่องนี้แล้วลองปฏิบัติดู จะช่วยป้องกันโรคได้ดีไม่เสียเงินอีกต่างหาก

โรคเราที่เป็นกันทุกวันนี้มี 2 กลุ่มใหญ่คือ

                    โรคที่เกิดจากเชื้อโรคเช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา เช่น หวัด คางทูม วัณโรค ตับอักเสบ เป็นต้น และ

                   โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เรียกว่า โรคแห่งความเสื่อม (Degenerative diseases) เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ เกาต์  ฯลฯ

เปลี่ยนอารมณ์โกรธ ลดโรคร้าย
 

                   อารมณ์เสีย หงุดหงิด รำคาญ วิตก กังวล ห่อเหี่ยว หดหู่ น้อยใจ เสียใจ แค้นใจ ขัดเคืองใจ โกรธ อิจฉาริษยา พยาบาท อยากไปหมด อยากมี อยากได้ อยากเป็น ฯลฯ ล้วนเป็นอารมณ์ด้านลบที่ทำให้สุขภาพทรุดโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย ทำให้เกิดโรคแห่งความเสื่อมทั้งหลาย

เมื่อเราเกิดความเครียด ต่อมหมวกไตจะขับฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวร้าย สังเกตเวลาโมโห ผิดหวัง หรือโกรธเกลียดใครมากๆ หัวใจจะเต้นตุบๆตับๆ เร็วรัว บางครั้งหายใจไม่ออก หน้ามืด ยิ่งคนที่เป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดตีบตัน ถ้าเกิดอารมณ์รุนแรง ฮอร์โมนตัวนี้จะหลั่งออกมามาก ก็จะตายเร็ว หรืออาจเสียชีวิตทันที ถ้าเครียดบ่อยๆ ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งบ่อย ๆ ต่อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานและเม็ดเลือดขาว เช่น ต่อมทอนซิล ต่อมไทมัส ฯลฯ จะฝ่อ ภูมิต้านทานจะลดลงเพราะฉะนั้นใครอารมณ์ร้าย อารมณ์เสียบ่อย ยิ้มไม่เป็น เครียด โกรธเกลียดง่าย อยากได้อยากเป็นคิดแข่งขันตลอดเวลา อิจฉาตาร้อน หงุดหงิดบ่อย ๆ อะดรีนาลีนจะหลั่งมากขึ้น ภูมิต้านทานลด เจ็บป่วยง่าย อายุจะสั้น

                   ดังนั้น การรู้เท่าทันอารมณ์ ประคองจิตใจ เข้าใจ รู้แพ้ชนะ ให้อภัย ปล่อยวางบ้าง ทำให้เราเริ่มต้นมีสุขภาพที่ดีได้

                   ในแต่ละวันไม่ต้องคิดเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เพื่อความสบายของเรา แต่จงเปลี่ยนแปลงตัวเราให้ สบายใจให้ได้ เพราะเพียงแต่คิดจะทำร้ายบุคคลอื่น ความโกรธก็ชิงลงมือทำร้ายเราก่อนแล้ว เป็นการบั่นทอนสุขภาพตัวเองที่ไม่คุ้มค่าเลย บางครั้งผู้ที่ผูกโกรธแค้นอาฆาต ไม่มีสักรายเดียวที่จะนอนหลับเป็นสุข ดังนั้น บุญต้องทดแทน แค้นต้องอภัย ทุกอย่างเกิดกับเราย่อมมีที่มาที่ไปไม่มีอะไรเกิดโดยบังเอิญ
 
 
สัตว์โลกเมื่อเกิดมา ย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก ความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว
 
"จิตที่คิดดี นำสุขมาให้"

                   ทุกคนคงเคยได้ยินคำกล่าวข้างต้น ถ้าเรามองโลกในแง่บวก คิดดี ทำดี หรือว่าทำสมาธิได้ จิตจะสั่งงานสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ให้หลั่ง GHRF (Growth hormone release factor) ออกมา ฮอร์โมนตัวนี้จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมอง ให้ขับฮอร์โมนโกรต (Growth hormone) ออกมากระตุ้นต่อมที่สร้างเม็ดเลือดขาวให้ทำงานเต็มที่เพื่อสร้างเม็ดเลือดขาวที่เปรียบเสมือนเป็นทหารต่อสู้สิ่งแปลกปลอมในร่างกายเราขึ้นมา

                   ถ้าท่านมีความสุข สงบ เกิดปิติ ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ในสมองก็จะขับฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา ฮอร์โมนนี้เป็นยาระงับปวดที่ดีที่สุด ประสิทธิภาพดีกว่ามอร์ฟีนถึง 250 เท่า สังเกตดูว่าเวลาเราหัวเราะ อารมณ์ดีหรือมีความสุข จะหายเจ็บปวด ก็เพราะฮอร์โมนตัวนี้ดังนั้นหากใครอารมณ์ดี เยือกเย็น เมตตา แจ่มใส ทำสมาธิได้ มีความสุข ฮอร์โมนโกรตหลั่ง เอนดอร์ฟินหลั่งออกมาเรื่อย ๆ ภูมิต้านทานจะดี สดใส อายุก็จะยืน

รู้อย่างนี้แล้ว..... ท่านก็ลองไปตรองดูว่า เราจะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่จะให้มีสติเพื่อประคับประคองรู้เท่าทันอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ ฝึกจิตตนให้สงบนิ่ง ...เพียงแค่นี้ สุขภาพก็จะดีได้นานๆ ที่สำคัญผลพลอยได้คือแก่ช้าอีกต่างหาก ไม่ต้องเปลืองเงินเข้าสถานเสริมความงามต่างๆอีก  หุ หุ :)
 
 
    อ้างอิง http://learners.in.th /

Tuesday, 16 October 2012

พิษภัยจากอาหารทะเล

 
 
 
ภาพที่ดูเหมือนจะให้ขำขันแต่คิดให้ดีแล้ว น่าจะขำไม่ออกนัก เพราะขนาดเจ้าฉลาม 2 ตัวนี่ยังกลัวปรอทที่สะสมตกค้างในร่างกายของคนเราเลย ทั้งนี้เพราะเราบริโภคอาหารทะเลที่ปนเปื้อนโลหะหนักหลายชนิด ขนาดฉลามยังขยอง!!

ว่าแต่..ปรอทในทะเล มาจากไหน (ปรอท จัดเป็นโลหะหนักค่ะ)


 
หลังจากอุบัติเหตุน้ำมันรั่วไหล แม้กระทั่งปล่อยน้ำมันทิ้งในทะเลจากงานวิจัยต่างๆมีข้อมูลว่าจะตรวจพบโลหะบางชนิด เช่น สารหนู เพิ่มสูงขึ้นมาก ส่วนสารปรอทนั้นพบสูงเพิ่มขึ้นในอากาศ สารพิษจากน้ำมันได้ถูกส่งผ่านห่วงโซ่อาหาร ผ่านหอยแมลงภู่ เพรียง หอยฝาเดียว และส่งผ่านไปยังสัตว์ที่กินสัตว์เหล่านี้เป็นอาหารและสามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตต่างๆในทะเล
การตรวจพบโลหะและโลหะหนักตกค้างในตะกอน สัตว์ทะเล ที่นำมาจากแหล่งน้ำมันรั่วไหลลงทะเล ตรวจพบโลหะหนักจำนวนมาก บางชนิดเป็นสารก่อมมะเร็งกลุ่มที่ 1 2A, 2B หรือกลุ่ม 3 เช่น สังกะสี แมงกานีส สารหนู (กลุ่ม 1) โคบอลท์ (กลุ่ม 2B) โครเมียม (กลุ่ม 3) ซีลิเนียม ปรอท (กลุ่ม 3) แคดเมียม (กลุ่ม 1) ทองแดง ตะกั่ว (2A/2B) นิเกิล (กลุ่ม 1)  ดีบุก แอนติโมนี และวานาเดียม โดยเฉพาะนิเกิล (กลุ่ม 1) และวานาเดียม นั้นพบมากในน้ำมันดิบ
การปนเปื้อนโลหะในอาหารทะเลจะแตกต่างกันขึ้นกับแหล่งน้ำมัน ชนิดของสิ่งมีชีวิตและสภาวะแวดล้อม  มลพิษที่ปนเปื้อนในน้ำทะเลและแหล่งน้ำธรรมชาติจะปนเปื้อนมากับสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา ทำให้ผู้บริโภคได้รับสารพิษไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดเมื่อสารพิษถูกสะสมมากขึ้น สารพิษบางชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง จึงสามารถชักนำให้เกิดเป็นมะเร็งได้ โลหะและโลหะหนักบางชนิดไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็งแต่ทำลายระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น สารปรอททำลายระบบประสาท โดยเฉพาะทารกในครรภ์ถ้าได้รับสารปรอทจะทำให้มีสติปัญญาต่ำ มีพัฒนาการต่ำกว่าอายุจริง นอกจากนี้สารเคมีหลายชนิดทำลายตับและไต สารพิษบางชนิดทำให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายไม่เป็นปกติ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้
หากคนไทยไม่ช่วยกันดูแลทะเลให้สะอาด  ทิ้งขยะของเสียต่างๆ ไม่ช่วยกันเฝ้าระวังการลักลอบทิ้งสารเคมีและน้ำเสียลงทะเลและแหล่งน้ำธรรมชาติ ในที่สุด คนไทยต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤติอาหารจากสารพิษ และการเผชิญวิกฤติสารพิษในอาหารในอนาคต  แม้แต่ฉลามยังรังเกียจคนเลย หุหุ


Tuesday, 2 October 2012

อย่าหลงเชื่อว่าสมุนไพรไม่มีโทษ


by meepole
ยาสมุนไพรกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะขึ้นชื่อว่าสมุนไพร หลาย ๆ คนก็มักจะเชื่อว่ามีแต่ประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น เพราะมีสรรพคุณดี ๆ หลายอย่าง แถมยังมาจากธรรมชาติล้วน ๆ อีกด้วย แต่ความจริงก็คือไม่ว่าอะไรถ้ามากเกินไปหรือไม่ถูกโรคก็ให้โทษกับร่างกายได้เหมือนกัน เป็นดาบสองคม มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ได้เช่นกัน รวมไปถึงพวกสมุนไพรด้วย

  ปัจจุบันสมุนไพรถูกนำมาผลิตในรูปแบบต่างๆให้ทานได้ง่ายขึ้น มีทั้งทานสดๆ ต้ม เป็นผง ลูกกลอน แคปซูล หรืออัดเม็ด โดยนิยมกินเป็นประจำทุกวัน เป็นแรมเดือนแรมปี สิ่งที่ควรต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกกินสมุนไพรชนิดใดๆไม่ว่าจะสูตรไหนให้คำนึงเรื่องต่อไปนี้

1. ตัวเรามีความจำเป็นอย่างไรจึงต้องกินสมุนไพรชนิดนั้นๆ อย่ากินตามที่ขาบอกว่ากินแล้วอะไรๆก็จะดี เพราะสมุนไพรทุกชนิดไม่ไช่ยาครอบจักรวาล ควรศึกษาให้ดีด้วยว่าเหมาะในการรักษาหรือป้องกันโรคแบบไหน

2. ร่างกายเรามีโรคประจำตัวอะไรที่ไม่เหมาะกับสมุนไพรชนิดนั้นๆหรือไม่ หากใช้ไม่ถูกเรื่องแทนที่จะรักษาโรคหนึ่งๆ กลับไปทำให้เกิดโทษกับอวัยวะอื่นๆ จึงต้องศึกษาผลข้างเคียงของสมุนไพรนั้นๆด้วย ยกตัวอย่างกรณีศึกษา

            ผู้ป่วยเบาหวานรายหนึ่งเล่าว่ากินยาเบาหวานมาหลายปี ก็ไม่เคยมีปัญหาแทรกซ้อนรุนแรง ต่อมาทราบจากคำเล่าลือว่ามะรุมสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้  จึงซื้อมะรุมชนิดเม็ดกินเสริมไปวันละ ๒ ครั้งๆ ละ ๒ เม็ด พอกินไปได้ ๑๐ กว่าวัน ก็เกิดอาการเป็นลม หน้ามืด ไม่ค่อยรู้สึกตัว ญาติพาส่งโรงพยาบาล

            แพทย์ตรวจพบว่าผู้ป่วยเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกิน สันนิษฐานว่าอาจเป็นไปได้ที่มะรุมมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จึงเสริมฤทธิ์ยาเบาหวานที่กินอยู่เดิมจนน้ำตาลในเลือดลดต่ำถึงขั้นอันตรายได้
     จากรายงานความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง พบว่าทำให้เกิดการแท้ง ดังนั้นควรระมัดระวังการใช้ส่วนต่างๆ ของมะรุมในสตรีมีครรภ์

 3. จะกินต่อเนื่องนานเท่าใด ควรกินในปริมาณเท่าใด เพราะยาสมุนไพรหลายชนิดไม่ไช่ยาสังเคราะห์เคมีที่สามารถรักษาโรคหนึ่งๆได้รวดเร็ว ดังนั้นส่วนมากแล้วจะเห็นผลได้ต้องกินติดต่อยาวนาน ไม่ว่าจะเพื่อป้องกันหรือใช้รักษาก็ตาม แต่การกินสมุนไพรบางชนิดติดต่อกันยาวนาน จะส่งผลลบต่อสุขภาพก็มี ยกตัวอย่างกรณีศึกษา

             สมุนไพรที่มีการยืนยันทางวิชาการว่ามีพิษต่อตับ ทำให้ตับอักเสบอีกชนิดหนึ่ง ก็คือ บอระเพ็ด ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด เมื่อทดลองให้ผู้ป่วยเบาหวานกินทุกวันก็พบว่าทำให้ตับอักเสบได้

              เคยมีการนิยมนำขี้เหล็กมาต้ม แล้วน้ำที่ต้มมาดื่มแทนน้ำเปล่าด้วยเชื่อว่าเป็นยาบำรุง พอดื่มไปได้ ๒-๓ เดือนก็เกิดอาการดีซ่าน ไปพบแพทย์ก็ตรวจยืนยันว่าเป็นตับอักเสบจากการดื่มน้ำขี้เหล็กต้มเช่นเดียวกัน

4. ควรศึกษาคุณและโทษของสมุนไพรนั้นๆ ไม่ว่าอะไรก็ตามในโลกนี้มีคุณก็มีโทษได้ การใช้ไม่ถูกวิธี การปรุงที่ผิดกรรมวิธี ย่อมส่งผลอันตรายหรือไม่เกิดประโยชน์อันใด

            เมื่อ 20-30 ปีก่อน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขท่านหนึ่ง มีเจตนาดีในการรณรงค์ปราบโรคพยาธิปากขอ โดยนำมะเกลือมาปรุงเป็นยาเป็นปริมาณหม้อใหญ่ๆ ซึ่งต้องเตรียมทิ้งไว้ค้างคืน

             โบราณจะเตรียมมะเกลือในปริมาณเล็กน้อย สำหรับแต่ละคนเท่านั้น และเมื่อเตรียมเสร็จก็ให้กินสดๆ ทันที ซึ่งก็ได้ผลในการรักษาโรคพยาธิปากขอ และไม่ได้เกิดผลข้างเคียงอะไร

            วันรุ่งขึ้นก็แจกจ่ายให้เด็กๆ ตามหมู่บ้านกินกันถ้วนหน้า คราวนั้นเกิดผลที่ตามมา คือ มีเด็กๆ หลายคนตามัวตาบอด เนื่องจากได้รับพิษภัยจากสารเคมีในมะเกลือที่กลายรูป เนื่องจากการตั้งทิ้งไว้ค้างคืน เพราะการเปลี่ยนมาเตรียมครั้งเดียวปริมาณมากๆ และทิ้งไว้ข้ามคืน สารเคมีในมะเกลือก็เกิดการกลายรูปเป็นสารใหม่ ซึ่งสามารถทำลายประสาทตาจนทำให้ตามัวตาบอด

5. หากกินสมุนไพรที่ผลิตขึ้น บรรจุในบรรจุภัณฑ์ ให้อ่านฉลากให้ดีก่อน ว่าผลิตจากแหล่งใด หมดอายุเมื่อใด สรรพคุณอย่างไร มีการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้หรือไม่

6. หากเป็นลูกกลอน ผง แคปซูล เมื่อเปิดใช้แล้วต้องเก็บในที่แห้ง ระวังความชื้น ที่ทำให้ขึ้นราได้ หากสงสัยว่าจะขึ้นราก็ไม่ควรกินเพราะ เกิดโทษอันตรายมากกว่า
 

 ดังนั้นก่อนจะเลือกใช้เลือกกินสมุนไพรอะไรก็ตาม ที่สำคัญต้องรู้ความจำเป็นในการที่ต้องกินต้องใช้ อย่าทำตามที่ใครๆแนะโดยไม่พินิจพิจารณา ต้องรู้โรคประจำตัวของตนที่มีอยู่ และไม่ควรกินต่อเนื่องติดต่อเป็นเวลานานๆ และหากจะทานเพื่อบำรุงร่างกายก็ควรหันมาทานผัก ผลไม้ ให้มากๆในรูปอาหารธรรมชาติ ตามวิถีที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติกันมาจะดีกว่าเพราะเป็นสมุนไพรที่มีเกลือแร่ วิตามินที่ร่างกายต้องการ และมีประโยชน์แน่นอน

 

Monday, 27 August 2012

ลดความเสี่ยงจากโรคอันตราย


กินให้ถูกหลัก พักผ่อนเพียงพอ

 

วันนี้คุณกินอาหารมื้อเช้าหรือยัง ขอบอกว่าสำคัญมาก คนรุ่นใหม่ที่เร่งรีบไปทำงานในเมืองเพราะหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด บางคนยุ่งกับการส่งลูกหลานไปโรงเรียน จนไม่มีเวลาทานอาหารเช้า ลองอ่านเรื่องนี้แล้วพิจารณานะคะว่าจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่ออนาคตของคุณและลูกหลานหรือไม่

 

ทำไมทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้มากและหลากหลาย เพราะเราพักผ่อนกันมาทั้งคืนแล้ว เช้าเตรียมตัวเริ่มงานทั้งวันอีก เหมือนรถจะแล่นทั้งวัน น้ำมันรถคือเชื้อเพลิงก็ต้องมีพร้อม อาหารก็เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่ร่างกายใช้เผาผลาญให้เกิดพลังงานเพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากส่วนอื่นออกมาซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วยและเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดนี้ออกมาบ่อยๆพออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง

 

ปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษเป็นของเสียอยู่ในร่างกายตลอดเวลาเรียกว่า สารอนุมูลอิสระ และจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้องทำงานหนัก ใช้สมองและ เราได้รับอนุมูลอิสระที่มาจากนอกร่างกาย เมื่อเจอมลภาวะ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ เขม่าจากเครื่องยนต์ ฝุ่น สารจากกระบวนการประกอบอาหารเช่น การปิ้ง ย่าง เผาเนื้อสัตว์ ที่มีส่วนประกอบของไขมันสูง การดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดสารพิษนี้ ซึ่งจะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังเป็นอยู่ และทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายชนิด เช่น เช่น โรคหลอดเลือดตีบและแข็งตัว เกิดการกลายของเซลล์ทำให้เกิดมะเร็งบางชนิด โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อม ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อรุนแรงขึ้น โรคไขข้ออักเสบและความเสื่อมของร่างกายเป็นต้น


การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (ตอนกลางคืน) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อไปทำลายสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ในการกำจัดของเสีย และช่วยให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรงด้วย

ข้อควรทำ จำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าเต็มที่ อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบเบาๆ หรืองดไปเลย

2.นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง

3.ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที (20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมา ร่างกายจะเผาผลาญไขมัน)
 

Monday, 9 July 2012

บั่นทอนชีวิต..กินไป คิดไป

ทราบไหมว่า...คุณกำลังบั่นทอนชีวิตหากกินไป คิดไป
 
คนสมัยนี้มักเข้าใจไปว่า การคิดไปด้วย กินไปด้วยเป็นการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเวลาเป็นเงินเป็นทอง ก็ยิ่งต้องทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ต้องรีบเร่งแข่งกับเวลาจนไม่มีเวลาทานอาหารแบบสบายๆ ต้องรีบทาน รีบไป รีบทำงานต่อ
หารู้ไม่ว่านั่นคือการบั่นทอนคุณภาพชีวิตและสุขภาพอย่างร้ายแรง การเร่งรีบทานอาหาร รีบเคี้ยวรีบกลืนนั้นเป็นที่มาของการทำให้ระบบการย่อยอาหารไม่ดี การเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดมีส่วนสำคัญในการย่อยอาหาร เนื่องจากทำให้เอนไซม์ทำงานย่อยอาหารไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ชณะที่ทานอาหารจิตก็ไม่มีสมาธิกับงานใด ๆ แม้แต่งานเดียวแล้ว ยังทำให้ขาดสติ คิดเรี่ยราดหรือฟุ้งซ่าน กลายเป็นคนเจ้ากังวล จมกับความเครียด จนไม่รู้ตัว เหมือนสปริงที่ถูกกดทับนานๆสปริงก็ตาย การย่อยอาหารไม่เต็มที่ เสียเวลาในกระบวนการย่อยนาน เลือดต้องไปเลี้ยงสมองมาก นอกจากนั้นแล้วยังทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งได้น้อยลงอีกด้วย
อาหารไม่ย่อยเกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การย่อยทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็เกิดจากการรีบเร่งกินอาหาร ทำให้มีแก๊สในระบบย่อย และเกิดกรดเกินในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการจุก เสียด แน่น บริเวณลิ้นปี่
ดังนั้นควรใช้เวลาในการบริโภคอาหารให้นานมากขึ้นด้วยการเคี้ยวอาหารนั้นอย่างละเอียด ใครที่กินอาหารด้วยจิตที่เครียด ว้าวุ่น ไม่ผ่อนคลายแบบนี้ ก็เตรียมเป็นโรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก หรืออาจส่งผลให้เกิดโรคอันตรายบางชนิดได้ และก็อย่าลืมพยายามให้เวลาตัวเองหลังอาหาร ก่อนที่จะเริ่มกิจกรรมต่างๆต่อไป 
หากยังควบคุมตัวเองให้หยุดคิดได้ยาก คงต้องหาป้ายเตือนตัวเองแบบในรูปข้างบนมาแขวนหรือติดไว้เตือนตัวเองแล้วล่ะ

Saturday, 5 May 2012

สารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศ (2)


by meepole

ปกติร่างกายคนเราจะสร้างฮอร์โมนเพศเพื่อกำหนดลักษณะประจำเพศ เพศหญิง เพศชาย สำหรับเพศชาย "เทสโตสเตอโรน" (testosterone) เป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นตัวกำหนดลักษณะประจำเพศหลาย ๆ อย่าง เช่น หนวด เครา ขนหน้าแข้ง เสียงห้าว ความกำยำล่ำสัน เป็นต้น ผู้ชายที่ขาดฮอร์โมนตัวนี้ไปก็จะมีลักษณะเป็นผู้หญิง ตัวอย่างที่เห็นคือ ขันทีในราชสำนักจีนโบราณเมื่อตัดลูกอัณฑะออกก็หมดลักษณะความเป็นชาย หมดเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ ทั้งนี้เพราะลูกอัณฑะเป็นแหล่งสร้างฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน

บทบาทและหน้าที่ของฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรนยังมีอีกมาก ส่วนเพศหญิงมีฮอร์โมน "เอสโตรเจน" (estrogen) เป็นตัวกำหนดลักษณะประจำเพศหญิง ดังนั้นหากมีสารใดที่มารบกวน เปลี่ยนแปลงหรือกระทบต่อฮอร์โมนเพศดังกล่าวย่อมส่งผลต่อลักษณะประจำเพศ

สารอะไรบ้างที่เป็นตัวรบกวน

งานวิจัยในต่างประเทศพบว่า สาร Bisphenol A (สารบิสฟีนอล เอ, BPA) มีลักษณะเป็นตัวรบกวนฮอร์โมน ทำให้ฮอร์โมนเพศในร่างกายของเด็กสับสน ส่งผลต่อการเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งอาจนำไปสู่พัฒนาการทางเพศก่อนวัยของเด็กและลดความสามารถในการสืบพันธุ์ในอนาคต

การที่สาร BPA สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเพศของเด็กได้นั้น มีข้อมูลงานวิจัยระบุว่า เพราะเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง ทำให้สเปิรม์ (อสุจิ) ลดลง ส่งผลเปลี่ยนพฤติกรรมเพศของเด็กได้

นักวิจัยจาก University of California San Francisco พบหลักฐานจากการทดลองที่มีการเชื่อมโยงระหว่าง BPA กับการลดลงของรังไข่ในผู้หญิง จากการศึกษาพบว่า BPA ส่งผลให้การปฏิสนธิของไข่ลดลงถึง 50%

สารนี้คืออะไร มีในผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง

ชื่อเคมีทั่วไป : Diphenylopropane ; 4,4'-Isopropylidiphenol

สูตรโมเลกุล : C15H16O12

 สาร BPA เป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนต (polycarbonate) นิยมใช้กันทั่วไปเพื่อทำให้ขวดพลาสติกมีความใส มักนำไปใช้ทำขวดน้ำ ขวดนม เหยือกน้ำ ขวดน้ำบรรจุ 5 ลิตร  ใช้ทำถ้วยพลาสติกใส ช้อนส้อม มีดชนิดใส เป็นต้น เป็นวัตถุดิบผลิตเรซินสังเคราะห์สำหรับบุกระป๋องโลหะสำหรับใส่อาหาร เคลือบกระป๋องเครื่องดื่ม

รายงานของ Environment California Research and Policy Center ชี้ให้เห็นว่า ขวดนมพลาสติกใสแบบที่นิยมใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีพิษจากสารเคมีที่เป็นภัยต่อฮอร์โมนการเจริญเติบโต ระบบประสาท และระบบสืบพันธุ์

สารนี้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร

เมื่อนำขวดพลาสติกหรือกระป๋องที่มีสารบิสฟีนอล เอ บรรจุอาหารหรือเครื่องดื่ม สารบิสฟีนอล เอ อาจหลุดร่อน ออกมาจากบรรจุภัณฑ์ หรือเมื่อบรรจุภัณฑ์ได้รับความร้อนหรืออุณหภูมิสูง ก็จะละลายปะปนอยู่ในอาหารเหล่านั้น เมื่อบริโภคอาหารและเครื่องดื่มจากบรรจุภัณฑ์อันตรายนั้นก็จะรับเอาบิสฟีนอล เอ เข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว


 (เพิ่มเติม..นี่เลยเป็นที่มาของการห้ามพ่อแม่ไม่ให้อุ่นขวดนมลูก ขวดนมเด็กทุกชนิดในเตาไมโครเวฟ เพราะขวดนมเด็ก ส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติกชนิดโพลีคาร์โบเนต ควรแช่ขวดนมในน้ำอุ่นๆ แทน ถ้าเป็นไปได้ควรซื้อขวดนมที่ระบุว่า "ปลอดสาร BPA หรือ BPA Free" หรือเลือกขวดนมที่ทำมาจากพลาสติก PP หรือแก้วแทน จะปลอดภัยกว่า)

อันตรายอื่นๆต่อร่างกาย มีอะไรบ้าง

จากผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์กว่า 150 เรื่อง ที่ผ่านการทดสอบในหนูทดลองมาแล้ว และให้ผลว่าสารบิสฟีนอล เอ ก่อให้เกิดอันตรายกับหนูได้แม้ในระดับปริมาณของสารจะต่ำ ซึ่งคำถามสำคัญก็คือ ร่างกายของเราได้รับในปริมาณเท่าไหร่ จึงก่อเกิดอันตราย?

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า สาร Bisphenol A จำนวนเพียงเล็กน้อย เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง การเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก การเริ่มเป็นหนุ่มสาวช้าลง โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไฮเปอร์ (hyperactivity) และอื่นๆ

ศูนย์พิษวิทยาแห่งชาติ (National Toxicology Programe) ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health) ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับอันตรายของบิสฟีนอล เอ ที่อาจส่งผลต่อระบบประสาท พัฒนาการของทารกในครรภ์ เด็กทารก และเด็กเล็กได้ และอาจเป็นสาเหตุก่อมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมในคนหนุ่มสาวได้เช่นกัน

การตื่นตัวต่อสารนี้

การศึกษาวิจัยถึงอันตรายของ BPA ได้รับความสนใจและโต้เถียงกันยาวนานมาก จนเป็นที่ยอมรับถึงผลกระทบต่อสุขภาพเกี่ยวกับพัฒนาการและระบบสืบพันธุ์ตลอดจนการก่อมะเร็ง เมื่อมีเสียงเรียกร้องถึงความปลอดภัยจากผู้บริโภค จึงมีการจำกัดการใช้สารนี้บ้างแล้ว เช่น ในแคนาดา บางรัฐของสหรัฐอเมริกา (CA) และเดนมาร์ก ห้ามใช้ BPA ในขวดนม ของเล่น และผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่ใช้กับเด็ก

วารสารเนเจอร์ ฉบับที่ 7324 ปี พ.ศ. 2553 ได้เผยแพร่ถึงเรื่องที่สหภาพยุโรปได้ทำข้อตกลงร่วมกันในเรื่อง ข้อห้ามสาร Bisphenol A ซึ่งจะมีผลในกลางปี พ.ศ. 2554

อียูสั่งห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขวดสำหรับทารกที่มีสาร BPA
แน่นอนสิ่งนี้ย่อมยังไม่เกิดในประเทศไทย ยังไม่มีองค์กร หน่วยงานใดออกมาเรียกร้องให้เกิดผลในการห้ามจำหน่ายหรือผลิตภาชนะที่มีส่วนผสมสารนี้ กระทั่งการตื่นตัวก็มีน้อยมาก แต่คำถาม คำบ่น ข้อสงสัย มีมากมายเหลือเกินว่าทำไมปัจจุบันจึงมีเพศที่ 3 (ลักษณะเบี่ยงเบน) ออกมากันมาก ก็เพราะเราไม่ใส่ใจ ไม่ระมัดระวัง สารเคมีจากการบริโภค และจากเครื่องใช้ต่างๆทารก (แล้วจะเอามาเขียนเพิ่ม) อนาคตเราคงมีลูกหลานที่มีลักษณะเบี่ยงเบนกันมากขึ้น หากใครไม่อยากมีลักษณะเบี่ยงเบนดังกล่าว หรือไม่อยากให้ลูกมีความเบี่ยงเบนทางเพศก็คงต้องติดตามหาอ่าน และหลีกเลี่ยงภาชนะ หรืออาหารที่น่าสงสัยว่าจะมีสารดังกล่าวปนเปื้อนอยู่


  ตอนที่แล้ว  สารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศ (1)  http://meepole.blogspot.com/2012/03/1.html

คราวหน้าเราจะมาตามว่า   เชื่อไหมว่า น้ำดื่มขวดที่เราดื่มกันน่ะ มีสารที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ได้ไง??
อ้างอิง
ที่มาภาพ: treehugger.com alibaba.com bombayharbor.com

Friday, 30 March 2012

เครื่องดื่ม! โปรดอ่าน..ก่อนสายเกินไป


ช่วงนี้กำลังมีสมาธิเร่งเขียนตำราอยู่เลยเอาข่าวที่น่าสนใจมาให้อ่าน เผื่อใครที่ตกข่าวจะได้รู้แล้วลองพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าจะยังให้ลูก หลาน ดื่มโค้ก และเป็ปซี่ แทนน้ำ กันอีกหรือเปล่า นอกจากการกัดกระเพาะ ฟันผุกร่อนแล้ว ตอนนี้ก็ได้มีข่าวที่ยอมออกข่าวระบุเสียที (จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้น่าแปลกใจเท่าใดนักสำหรับพวก food science หรือนักเคมี) เรื่องบางเรื่องต้องรอให้หน่วยงาน องค์กรเป็นคนประกาศ ไม่งั้นธรรมดาอย่างเราๆพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ หรือไม่งั้นโดนฟ้องรอพิสูจน์กันอีกยาว ดังนั้น meepole เอาที่เป็นข่าวแล้วมาบอกต่อ ช้าไปนิด แต่ดีกว่าไม่รู้เลย

ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน  meepole เห็นเป็นประจำที่เป็นผู้ซื้อ สั่งประจำเวลาไปร้านอาหารจานด่วนทั้งหลาย ยังไงๆอ่านเรื่องราวข้างล่างนี้แล้ว แม้ว่าสินค้าจะเปลี่ยนในลักษณะของการปรับลดสารอันตรายตัวนั้น แต่ก็ยังมีอยู่ และทุกอย่างที่เป็นที่มาของมะเร็งหรือโรคใดๆก็ตามล้วนมาจากการค่อยๆสะสมทั้งสิ้น(และแบบ diet อันตรายกว่าอีก เป็นที่มาของโรคอันตรายที่นิยมเป็นกันเสียด้วย ลองหาอ่านดู )  หวังนะคะว่าคงมีบางท่านที่ได้เข้ามาอ่านแล้วจะ Change!!!!!!



"โค้กและเป็ปซี่" ประกาศปรับสูตรใหม่ในสหรัฐฯ หลังถูกร้องเรียนผสมสารก่อมะเร็ง
โคคา-โคล่าและเป็ปซี่ กำลังปรับสูตรเครื่องดื่มชื่อดังของตนเสียใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายคำเตือนโรคมะเร็งบนฉลากสินค้า เพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ระบุว่าหนึ่งในสารที่ผสมในเครื่องดื่มสีดำมีสารก่อมะเร็ง โดยส่วนผสมซึ่งเป็นหนึ่งในสารสังเคราะห์ให้สีน้ำตาลเข้มเครื่องดื่มที่มีกลิ่นคล้ายคาราเมล หรือสาร 4-methylimidazole ได้รับการระบุในกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียว่าเป็นหนึ่งในสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

ก่อนหน้านี้ องค์กรอิสระแห่งหนึ่งชื่อว่า Center for Science in the Public Interest ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) สั่งห้ามการใช้สีสังเคราะห์ที่ใช้ทำสีน้ำตาลเข้มให้น่าดื่มในน้ำอัดลมเช่นโค้ก เป๊ปซี่ และยี่ห้ออื่นๆ เนื่องจากสีนี้มีสารเคมีที่ชื่อ 2-methylimidazole (เมธิลอิมิดาโซล) และ 4-methylimidazole ผสมอยู่ด้วย โดยสัตว์ในห้องทดลองที่ได้รับสารเหล่านี้ในปริมาณเพียง 16 ไมโครกรัมก็เป็นโรคมะเร็งได้แล้ว

องค์กรนี้ได้กล่าวว่าการใช้สีสังเคราะห์ซึ่งมากถึง 200 ไมโครกรัม ในน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ เพื่อทำสีให้น่าดื่มจึงไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ด้านสมาคมผู้ผลิตเครื่องดื่มสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังคงไม่พบหลักฐานว่าสารดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ในมนุษย์ ส่วนเอฟดีเออ้างว่า ในกรณีของมนุษย์ จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวถึง 1,000 กระป๋อง จึงจะเท่ากับปริมาณสารเคมีที่ถูกใช้ทดลองกับสัตว์ในห้องแล็บ (อันนี้เป็นข้ออ้างยอดนิยมค่ะ-meepole)

            ทั้งสองบริษัทประกาศว่าได้ทำการปรับสูตรเครื่องดื่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วทั่วประเทศ เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้านสมาคมเครื่องดื่มอเมริกัน เผยว่า ทั้งโค้กและเป็ปซี่ จะยังคงใช้สารดังกล่าวเช่นเดิม แต่จะมีการปรับสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนีย และผู้บริโภคเองก็จะไม่รู้สึกว่ารสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยนไปแต่อย่างใด และจะไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพใดๆ ด้านตัวแทนของโคคา-โคล่า เผยว่า บริษัทได้ส่งสูตรใหม่ที่มีการปรับลดสาร 4-methylimidazole ให้แก่โรงงานผลิตทั่วประเทศแล้ว เพื่อให้ส่วนผสมเป็นไปในทางเดียวกัน



รู้แล้วก็...คิดสักนิดก่อนกิน เด็กๆมีอนาคตอีกนาน อย่าก่อบาปให้พวกเขาเลยบอกเขา สอนเขา ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด

ที่มาข่าว : มติชนออนไลน์ ประจำวันที่ 9 มีนาคม 2555 ผู้เขียน: มติชนออนไลน์

เพิ่มเติม

สีดำของน้ำอัดลมพวกโค้กและเป๊บซี่นั้นได้มาจากสีของคาราเมล หรือที่เรียกกันว่า Caramel colouring ได้จากปฏิกิริยาเคมีของน้ำตาลเมื่อโดนความร้อนจะกลายเป็นสารที่มีสีน้ำตาลดำๆ และมีกลิ่นหอม

ในการทำคาราเมลสำหรับใส่น้ำอัดลม โรงงานผู้ผลิตจะเพิ่มแอมโมเนีย (ammonia) หรือ ammonium sulfite ลงไปเพื่อให้สีของคาราเมลเข้มขึ้น และในปฏิริยานี้จะเกิดผลพลอยได้เป็นสารตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า 4-methylimidazole

ในเดือนธันวาคม 2011 รัฐแคลิฟอร์เนียก็ประกาศให้ 4-methylimidazole เป็นสารก่อมะเร็งที่ถูกควบคุมด้วยญัตติ Proposition 65 ซึ่งขีดเส้นระดับขั้นต่ำของ 4-methylimidazole ไว้อยู่ที่ 29 ไมโครกรัม จากการสำรวจโดย Center for Science in the Public Interest (CSPI) โค้กและเป๊บซี่หนึ่งกระป๋องมี 4-methylimidazole ประมาณ 103-153 ไมโครกรัม เกินกว่าระดับขั้นต่ำหลายเท่า

ดังนั้นหากตอนนี้ใครไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าโค้กกับเป๊บซี่ที่นั่นสีจางกว่าของบ้านเรา ก็อย่าแปลกใจ สีไม่ได้ตกนะเอ่ย แค่ลดสารอันตรายลงเท่านั้นเอง J