การที่ให้รู้ว่าในแต่ละส่วนของบ้านมีเชื้อแบคทีเรียหลากหลายชนิด มีทั้งอันตรายบ้าง ไม่อันตรายบ้าง
ผู้เขียนไม่ได้ต้องการเพิ่มความเครียดในการที่จะให้กลัวเชื้อโรคจนเกินเหตุ แต่เพียงจะช่วยให้ผู้อ่านเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เตือนตัวเองให้เอาใจใส่สุขภาพและความสะอาด เรื่องเล็กๆ จะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากร่างกายเราอ่อนแอก็จะอาจก่อให้เกิดโรคได้ … อย่าคิดว่าเจ้าตัวเล็กๆที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจะมีปัญญาทำอะไรเราได้ เพราะหลายๆคนเมื่อเจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอ เราจะได้ยินบ่อยๆว่า....
ตาย เพราะติดเชื้อในกระแสเลือด (โรคฮิตค่ะ)
ดร.ทาเร็ก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี และซี ซึ่งติดต่อได้ในแปรงสีฟัน และสปอร์ของไวรัสตับอักเสบบี สามารถอยู่รอดได้นานหลายเดือน
สมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษจึงได้ย้ำว่าอันตรายยิ่งร้ายแรงขึ้น หากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น หลายคนยังทิ้งแปรงสีฟันไว้ในแก้วเดียวกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันหากแปรงสีฟันสัมผัสกัน
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำการปฏิบัติดังนี้
1.ให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน (อันนี้ดูตามเหมาะสม บางคนใช้จนลืมไปเลย และควรล้างแปรงให้สะอาดก่อนเก็บ ก็ลองสังเกตุที่โคนขนแปรงดูนะคะว่าสกปรกหรือไม่ ถ้ามีคราบไม่ว่าสีอะไรติด ก็ควรทิ้งเถอะนะคะ ค่ายาแพงกว่าค่าแปรงค่ะ)
ที่มาภาพ: psfk.com
2.ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น (ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไม่ไช่แปรงใครก็ใช้ได้)
3.ไม่ควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง (เพราะจะทำให้เหงือกเป็นแผล เพราะบางครั้งเราแปรงแรงๆแล้วมีเลือดออกนั่นล่ะค่ะ จะกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด)
4. หาปลอกใส่แปรงสีฟัน (อันนี้ไม่อยากแนะนำเพราะบางทีมันชื้นมากเกินไป แม้ว่ามีรูระบายก็เถอะ ไม่เหมาะกับบ้านเรา แค่วางแปรงแยกห่างๆกันก็พอค่ะ)
5. ต้องแยกแปรงสีฟันออกจากกันหากมีโรคติดต่อ (อันนี้จำเป็นมากค่ะ แปรงใส่แก้วของใครก็คนนั้น และแยกห่างกันด้วย)
ที่มาภาพ: ideasforhouses.com
ทั้งหมดนี้คงไม่ทำให้เครียดเกินไปนะคะ
เพียงแค่เดินเข้าห้องน้ำไปแวะดูเจ้าแปรงสีฟันหน่อย
ถ้าเขาสกปรกแล้วก็ say good bye!
(มีวิธีทำความสะอาดนะคะ แต่ไม่แนะ เพราะคนเขียนก็ไม่ทำ) ใช้วิธี bye bye method
อย่างเดียวค่ะ หุ หุ :)