Friday 30 March 2012

เครื่องดื่ม! โปรดอ่าน..ก่อนสายเกินไป


ช่วงนี้กำลังมีสมาธิเร่งเขียนตำราอยู่เลยเอาข่าวที่น่าสนใจมาให้อ่าน เผื่อใครที่ตกข่าวจะได้รู้แล้วลองพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าจะยังให้ลูก หลาน ดื่มโค้ก และเป็ปซี่ แทนน้ำ กันอีกหรือเปล่า นอกจากการกัดกระเพาะ ฟันผุกร่อนแล้ว ตอนนี้ก็ได้มีข่าวที่ยอมออกข่าวระบุเสียที (จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ได้น่าแปลกใจเท่าใดนักสำหรับพวก food science หรือนักเคมี) เรื่องบางเรื่องต้องรอให้หน่วยงาน องค์กรเป็นคนประกาศ ไม่งั้นธรรมดาอย่างเราๆพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ หรือไม่งั้นโดนฟ้องรอพิสูจน์กันอีกยาว ดังนั้น meepole เอาที่เป็นข่าวแล้วมาบอกต่อ ช้าไปนิด แต่ดีกว่าไม่รู้เลย

ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน  meepole เห็นเป็นประจำที่เป็นผู้ซื้อ สั่งประจำเวลาไปร้านอาหารจานด่วนทั้งหลาย ยังไงๆอ่านเรื่องราวข้างล่างนี้แล้ว แม้ว่าสินค้าจะเปลี่ยนในลักษณะของการปรับลดสารอันตรายตัวนั้น แต่ก็ยังมีอยู่ และทุกอย่างที่เป็นที่มาของมะเร็งหรือโรคใดๆก็ตามล้วนมาจากการค่อยๆสะสมทั้งสิ้น(และแบบ diet อันตรายกว่าอีก เป็นที่มาของโรคอันตรายที่นิยมเป็นกันเสียด้วย ลองหาอ่านดู )  หวังนะคะว่าคงมีบางท่านที่ได้เข้ามาอ่านแล้วจะ Change!!!!!!



"โค้กและเป็ปซี่" ประกาศปรับสูตรใหม่ในสหรัฐฯ หลังถูกร้องเรียนผสมสารก่อมะเร็ง
โคคา-โคล่าและเป็ปซี่ กำลังปรับสูตรเครื่องดื่มชื่อดังของตนเสียใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายคำเตือนโรคมะเร็งบนฉลากสินค้า เพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ระบุว่าหนึ่งในสารที่ผสมในเครื่องดื่มสีดำมีสารก่อมะเร็ง โดยส่วนผสมซึ่งเป็นหนึ่งในสารสังเคราะห์ให้สีน้ำตาลเข้มเครื่องดื่มที่มีกลิ่นคล้ายคาราเมล หรือสาร 4-methylimidazole ได้รับการระบุในกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียว่าเป็นหนึ่งในสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

ก่อนหน้านี้ องค์กรอิสระแห่งหนึ่งชื่อว่า Center for Science in the Public Interest ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) สั่งห้ามการใช้สีสังเคราะห์ที่ใช้ทำสีน้ำตาลเข้มให้น่าดื่มในน้ำอัดลมเช่นโค้ก เป๊ปซี่ และยี่ห้ออื่นๆ เนื่องจากสีนี้มีสารเคมีที่ชื่อ 2-methylimidazole (เมธิลอิมิดาโซล) และ 4-methylimidazole ผสมอยู่ด้วย โดยสัตว์ในห้องทดลองที่ได้รับสารเหล่านี้ในปริมาณเพียง 16 ไมโครกรัมก็เป็นโรคมะเร็งได้แล้ว

องค์กรนี้ได้กล่าวว่าการใช้สีสังเคราะห์ซึ่งมากถึง 200 ไมโครกรัม ในน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ เพื่อทำสีให้น่าดื่มจึงไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ด้านสมาคมผู้ผลิตเครื่องดื่มสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังคงไม่พบหลักฐานว่าสารดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ในมนุษย์ ส่วนเอฟดีเออ้างว่า ในกรณีของมนุษย์ จำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวถึง 1,000 กระป๋อง จึงจะเท่ากับปริมาณสารเคมีที่ถูกใช้ทดลองกับสัตว์ในห้องแล็บ (อันนี้เป็นข้ออ้างยอดนิยมค่ะ-meepole)

            ทั้งสองบริษัทประกาศว่าได้ทำการปรับสูตรเครื่องดื่มใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วทั่วประเทศ เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้านสมาคมเครื่องดื่มอเมริกัน เผยว่า ทั้งโค้กและเป็ปซี่ จะยังคงใช้สารดังกล่าวเช่นเดิม แต่จะมีการปรับสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนีย และผู้บริโภคเองก็จะไม่รู้สึกว่ารสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยนไปแต่อย่างใด และจะไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพใดๆ ด้านตัวแทนของโคคา-โคล่า เผยว่า บริษัทได้ส่งสูตรใหม่ที่มีการปรับลดสาร 4-methylimidazole ให้แก่โรงงานผลิตทั่วประเทศแล้ว เพื่อให้ส่วนผสมเป็นไปในทางเดียวกัน



รู้แล้วก็...คิดสักนิดก่อนกิน เด็กๆมีอนาคตอีกนาน อย่าก่อบาปให้พวกเขาเลยบอกเขา สอนเขา ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด

ที่มาข่าว : มติชนออนไลน์ ประจำวันที่ 9 มีนาคม 2555 ผู้เขียน: มติชนออนไลน์

เพิ่มเติม

สีดำของน้ำอัดลมพวกโค้กและเป๊บซี่นั้นได้มาจากสีของคาราเมล หรือที่เรียกกันว่า Caramel colouring ได้จากปฏิกิริยาเคมีของน้ำตาลเมื่อโดนความร้อนจะกลายเป็นสารที่มีสีน้ำตาลดำๆ และมีกลิ่นหอม

ในการทำคาราเมลสำหรับใส่น้ำอัดลม โรงงานผู้ผลิตจะเพิ่มแอมโมเนีย (ammonia) หรือ ammonium sulfite ลงไปเพื่อให้สีของคาราเมลเข้มขึ้น และในปฏิริยานี้จะเกิดผลพลอยได้เป็นสารตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า 4-methylimidazole

ในเดือนธันวาคม 2011 รัฐแคลิฟอร์เนียก็ประกาศให้ 4-methylimidazole เป็นสารก่อมะเร็งที่ถูกควบคุมด้วยญัตติ Proposition 65 ซึ่งขีดเส้นระดับขั้นต่ำของ 4-methylimidazole ไว้อยู่ที่ 29 ไมโครกรัม จากการสำรวจโดย Center for Science in the Public Interest (CSPI) โค้กและเป๊บซี่หนึ่งกระป๋องมี 4-methylimidazole ประมาณ 103-153 ไมโครกรัม เกินกว่าระดับขั้นต่ำหลายเท่า

ดังนั้นหากตอนนี้ใครไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าโค้กกับเป๊บซี่ที่นั่นสีจางกว่าของบ้านเรา ก็อย่าแปลกใจ สีไม่ได้ตกนะเอ่ย แค่ลดสารอันตรายลงเท่านั้นเอง J

Monday 19 March 2012

สารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศ (1)

ที่มาภาพ: familyhomesecurity.com
by meepole
ปัจจุบันจะเห็นว่าในสังคมเรานอกจากจะมีเพศหญิง เพศชาย ตามปกติที่ธรรมชาติสร้างกันมาแล้ว เรายังมีลักษณะที่ไม่ตรงกับเพศที่กำเนิดมา ที่เรามักเรียกกันในยุคนี้ว่า การเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องภาวะด้านจิตใจ ส่งผลมาถึงบุคลิกและพฤติกรรม เกิดได้กับทั้งสองเพศ ทำให้มีคำเรียกทางสังคมมากมายขึ้นในยุคนี้  มีงานวิจัย ข้อสมมุติฐานมากมายที่พยายามหาคำตอบอธิบายในเรื่องนี้อยู่ว่ามันเกิดจากอะไร หรือเกิดได้อย่างไร ซึ่งข้อสันนิษฐานมีทั้งกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดูจากครอบครัว อาหาร และสารเคมี เป็นต้น

ปัจจัยจาก สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดูจากครอบครัว เด็กๆคงเลี่ยง เปลี่ยนได้ยาก  หรือจะเลี้ยงดูแบบไหน เป็นปัจจัยภายนอกที่จะควบคุมได้ลำบาก เพราะมันคงต้องเป็นเช่นนั้น ส่วนกรรมพันธุ์ เป็นอะไรที่เปลี่ยนไปไม่ได้แล้ว ส่วนสารเคมีที่มีในทั้งอาหารและของใช้ต่างๆเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ เรียนรู้ เพื่อหลีกเลี่ยงการบริโภคสะสมอยู่ในร่างกายจนส่งผลต่อระบบต่างๆแล้วทำให้เกิดการเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ปัจจุบันมีการค้นพบสารเคมีหลายชนิดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบี่ยงเบนทางเพศ ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยสารเหล่านี้ถูกสังเคราะห์ใช้ในด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ปนในเครื่องใช้ ของใช้ต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ชาวบ้านทั่วไปจะรู้เรื่อง รู้จักสารเหล่านี้ นั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่นับวันจะทำให้การเบี่ยงเบนทางเพศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากจะเกิดคำถามว่าการเบี่ยงเบนทางเพศแล้วเป็นยังไง ทำให้ใครเดือดร้อน นั่นไม่ไช่ประเด็นของการเขียนเรื่องนี้ แต่ที่เขียนเรื่องนี้เพราะหากพ่อแม่คนใด หรือกระทั่งเด็กที่สามารถอ่านหนังสือเข้าใจ อยากมีเพศตรงตามธรรมชาติที่ได้กำเนิดมาได้มีโอกาสอ่านและทราบ จะได้สามารถนำไปป้องกันความเสี่ยงอันอาจเกิดได้ และที่สำคัญสารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศนั้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพด้านอื่นๆด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง

ลองมาทำความรู้จักสารก่อเกิดการเบี่ยงเบนทางเพศบางตัวที่ได้มีการศึกษาแล้ว ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งเราๆท่านๆก็ใช้กันอยู่โดยไม่รู้ตัว

สารฟธาเลต
คุณผู้หญิงทั้งหลาย ตลอดจนคุณผู้ชายทันสมัยบางคน มักจะเข้าร้านเสริมสวย สระผม ไดร์ผม ช่างทำผมตกแต่งเสร็จก็จะฉีดสเปรย์ใส่ผม สเปรย์ฉีดผมก็จะมีสารชนิดหนึ่งมากเป็นพิเศษ คือ สารฟธาเลต (Phthalate อ่านว่า ธาเลต) ซึ่งจากการศึกษาวิจัยในประเทศอังกฤษระบุว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ใช้สเปรย์ฉีดผมมาก มีโอกาสที่ลูกในครรภ์จะป่วยเป็นโรคไฮโพสปาเดียส (Hypospadias) สูงถึง 2 เท่าตัว โรคนี้จะทำให้ท่อปัสสาวะของผู้ชายมีลักษณะผิดปกติ และมีการพบว่ามีส่วนทำให้น้ำหนักตัวของทารกแรกเกิดน้อยกว่าปกติด้วย


นอกจากนี้ ยังพบว่าสารนี้ยังก่อให้เกิดการเบี่ยงเบนทางเพศของเด็กชาย โดยกระบวนการเบี่ยงเบนทางเพศเป็นลักษณะหญิง จะเกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ เมื่อมารดาได้รับสารพิษจะทำให้การทำงานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเด็กชายในครรภ์ถูกรบกวน แม้กระทั่งเป็นหนุ่มแล้วสารนี้ก็มีผลต่อคุณภาพของน้ำเชื้ออสุจิอีกด้วย ลองอ่านข้างล่างนี้แค่ส่วนหนึ่งให้เชื่อมั่นว่าน่าขยอง...(ขยาด+สยอง)

“Animal studies have shown consistently that phthalates depress testosterone levels. Recent human studies have found that phthalates are associated with poor semen quality in men and subtle changes in the reproductive organs in boy babies.”(Stahlhut R., M.D., M.P.H., The University of Rochester)



นักวิจัยพบว่าเด็กชายที่ได้รับสารฟธาเลตสูงตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะไม่ชอบการเล่นของเล่นพวกรถไฟ หรือปืน พูดง่ายๆคือไม่ชอบของแบบเด็กผู้ชายชอบเล่น อีกทั้งไม่ชอบการเล่นที่รุนแรง แต่กลับสนใจการละเล่นหรือของเล่นที่เด็กหญิงชอบเช่น ตุ๊กตา สนใจของสวยงาม ทาเล็บสีสวย ลิปสติกสีสด เป็นต้น

นอกจากในสเปรย์ฉีดผมแล้ว สารฟธาเลตยังพบมากในไวนิล พีวีซี และพลาสติกหลากหลายชนิดด้วย (ไว้ตอนต่อไป) ดังนั้นหากแม่กำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ฉีดผม สเปรย์ปรับอากาศ น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม และยาระงับกลิ่นกายทั้งหลายจะเป็นการดีที่สุด

เพิ่มเติม  ในเพศชาย ฮอร์โมนเพศจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และเริ่มมากขึ้นอีกครั้ง ในช่วงของวัยรุ่นจนเป็นหนุ่มเต็มที่.. จากนั้นก็จะอยู่คงที่ในช่วงวัยผู้ใหญ่จนอายุประมาณ 40-45 ปี การสร้างฮอร์โมนเพศชายก็จะค่อยๆลดลง